2 Min

ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็เปลี่ยนใครไม่ได้ เว้นแต่เราจะสำคัญมากพอให้เขาอยากเปลี่ยนเอง

2 Min
1563 Views
11 Jul 2023

บางคนอาจเข้าใจผิดว่า เราทำให้คนนั้นคนนี้ที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว คนใกล้ชิด หรือแม้กระทั่งคนรัก ‘เปลี่ยนแปลงตัวเอง’ ได้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้ หากพวกเขาไม่เริ่มจากตัวเอง หรือเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากข้างในก่อน

โดยเฉพาะสำหรับคู่รักคงเรียกว่า การปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งคือกระบวนการที่ต่างฝ่ายต่างมาเจอกันตรงกลางเพื่อให้ความสัมพันธ์มีความสมดุลและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งหากไม่ได้รักกันมากพอก็จะมีฝ่ายที่ต้องปรับตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว กับฝ่ายที่ไม่ยอมปรับเพราะมีทัศนคติว่า “ก็ฉันเป็นคนแบบนี้ เธอก็ต้องยอมรับให้ได้สิ” สุดท้ายก็ต้องแยกย้ายกันไปอยู่ดี หากอีกฝ่ายไม่มีทางที่จะปรับจูนเข้าหากัน

แล้วเพราะอะไรเราถึงทำให้ใครเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้​? นักปรัชญาและนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน วิลเลียม เจมส์ ระบุว่าเพราะคนเรามี Habitual Centers of Personal Energy หรือ นิสัยและพลังงานส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน ซึ่งประกอบด้วย ความมุ่งมั่น ค่านิยม แรงบันดาลใจ เป้าหมาย และตัวตนของเรา ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อเจ้าตัวมีเจตนา หรือความรู้สึกอยากเปลี่ยนเพื่อเป้าหมายสักอย่าง หรือเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

ลองนึกภาพตามว่า หากมีใครสักคนบอกให้เราเปลี่ยนนิสัยที่ทำมาตลอด เช่น คุณยุ่งมาก และไม่ชอบทำความสะอาดห้อง แล้วมีคนมาบอกว่า “ห้องรกมาก ทำไมไม่ขยันเก็บห้องเสียบ้าง เป็นแบบนี้ใครจะมาชอบ”

แน่นอนว่านอกจากจะทำให้คุณรู้สึกแย่แล้ว ยังเกิดการต่อต้านที่จะไม่ปรับเปลี่ยนยิ่งขึ้น หรือต่อให้แนะนำ หรือใช้คำพูดที่นุ่มนวลกว่านี้ก็ไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกว่า ฉันต้องเก็บห้องทุกวันอยู่ดี

เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงใดๆ ย่อมต้องใช้เวลาในการคิดทบทวน และทำความเข้าใจข้อดี ข้อเสีย หรือสิ่งที่คุณอาจพลาดไปหากไม่ปรับตัวเอง และนี่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในใจของแต่ละคนเท่านั้น ส่วนสิ่งที่คนข้างๆ ทำได้คือ คอยสนับสนุน เป็นกำลังใจ หรืออาจทำให้ดูไปเรื่อยๆ ว่าหากเปลี่ยนมาทำอย่างนี้แล้วชีวิตเขามีแนวโน้มที่จะดีขึ้นอย่างไรบ้าง

ข้อสำคัญที่ไม่ควรทำเลยคือ ‘การบังคับให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลง’ เพราะวิธีการนี้มักนำไปสู่การต่อต้าน ความไม่เข้าใจเจตนา และท้ายที่สุดคือ ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป เพราะการบังคับคือการข้ามขอบเขตความเป็นส่วนตัว และแท้จริงแล้วความต้องการนั้นอาจเป็นเพียงเจตนาที่เห็นแก่ตัวของคุณฝ่ายเดียวก็ได้ ปลายทางจึงอาจนำไปสู่ความเจ็บปวดใจของทั้งสองฝ่าย

หรือบางคนอาจเปลี่ยนไม่ได้เพราะยังไงเจ้าตัวก็ไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลง หรือจะด้วยปัจจัยอื่นๆ เช่น ยาเสพติด คบหากับสังคมที่ไม่ดี หรือไม่รู้ตัว ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้น toxic กับคนรอบข้างแค่ไหน หากในกรณีนี้ก็คงทำได้แค่ปล่อยเขาไปดีกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม ในความสัมพันธ์ที่ดี การสื่อสารอย่างเปิดเผยและจริงใจเป็นสิ่งสำคัญ หากมีพฤติกรรมบางอย่างที่คุณต้องการให้พวกเขาเปลี่ยน สิ่งสำคัญคือการแสดงความรู้สึกและความกังวลที่สื่อสารในลักษณะที่เคารพและเห็นอกเห็นใจกัน การให้การสนับสนุน ความเข้าใจ และการให้กำลังใจ

รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน ให้ความรู้สึกปลอดภัยและมีแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงที่ปราศจากความกดดัน และคุณเองก็ค่อยๆ ปรับตัวเองเข้าหาเขาเพื่อทำให้เห็นว่า อยากมีกันและกันอยู่จริงๆ ก็อาจเป็นการสร้างการโน้มน้าวใจที่แยบยลได้เหมือนกัน

ลองสังเกตดูว่า คนรอบข้างหรือคนรักที่มีลักษณะเป็นตัวของตัวเองสูง ดื้อรั้น ในช่วงพบกันใหม่ๆ นั้นอาจมีท่าทีต่อต้านเมื่อคุณบอกว่าไม่ชอบนิสัยนี้เลย มันทำให้อึดอัด เจ็บปวด เสียใจ หรือมีความรู้สึกใดๆ ก็ตามที่เป็นเชิงลบ

พอเวลาผ่านไปสักพักพวกเขาค่อยๆ อ่อนลงให้คุณ ค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากันได้มากขึ้นจะโดยตั้งใจ หรือเป็นไปตามธรรมชาติก็ตาม นั่นแสดงว่าคุณคือคนสำคัญที่ทำให้พวกเขาอยากตื่นมาเจอทุกๆ วัน อยากสานความสัมพันธ์ที่ดีให้ไปต่อและดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง

เอาเป็นว่าอย่าพยายาม (มากเกินไป) แต่ให้การปรับตัวเป็นไปตามธรรมชาติอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด

อ้างอิง