7 Min

รู้จัก ‘Yield Farming’ ระบบเงินฝากประจำของโลกคริปโทที่ง่ายและผลตอบแทนดีกว่าฝากธนาคาร

7 Min
765 Views
10 Feb 2022

ณ ปี 2022 สำหรับคนส่วนใหญ่ในโลกก็คงแทบจะไม่มีข้อกังขาใดๆ แล้วว่าคริปโทฯ จะเป็นสิ่งที่จะ ‘อยู่ต่อไป’ เพราะอย่างน้อยๆ ทั้งนักลงทุนแนวดั้งเดิมน้อยใหญ่ ยันสถาบันทางการเงินก็กระโดดเข้ามา ‘เล่น’ ในเกมนี้กันหมดแล้ว หรือพูดอีกแบบ ‘สถาบันหลัก’ แห่งโลกทุนนิยมนั้นก็ได้ทำการ ‘ยอมรับ’ คริปโทฯ กันหมดแล้ว จะเหลือก็แต่รัฐบาลจะประกาศให้มัน ‘ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย’ เท่านั้นเอง (ซึ่งจริงๆ ประเทศ เอลซัลวาดอร์ก็เป็นประเทศแรกในโลกที่ทำแบบนั้น)

ก้าวสำคัญของคริปโทฯ ในปี 2021 คือการ ‘ขยายจักรวาล’ ของมันนั้นได้ดึงคนที่ดั้งเดิมไม่ได้เกี่ยวและสนใจกับคริปโทฯ เลยเข้ามา ‘รับส่วนแบ่ง’ ในระบบเศรษฐกิจมูลค่ากว่าล้านล้านเหรียญสหรัฐของมัน เช่น การขยายตัวของระบบ NFT ก็ทำให้พวก ‘ศิลปินดิจิทัล’ เข้ามารับส่วนแบ่งตรงนี้และการขยายตัวของระบบ GameFi ก็ทำให้พวก ‘นักเล่นเกมออนไลน์’ เข้ามารับส่วนแบ่งตรงนี้ด้วย

แต่ทีนี้ทั้งหมดที่ว่ามา คริปโทฯ มันก็ยังดูไปไม่ถึง ‘คนทั่วไป’ สักเท่าไร ทั้งที่จริงๆ รูปแบบการลงทุนแบบที่ ‘ง่ายสำหรับคนทั่วไป’ มันมีแล้ว และเรียกว่า Yield Farming หรือสิ่งที่พวก ‘นักเลงคริปโทฯ ’ จะเรียกกันว่าการ ‘ฟาร์ม’ หรือ ‘ฟาร์มเหรียญ’ นั่นแหละ

ถ้าจะอธิบายให้คนทั่วไปฟัง ก็คงจะต้องอธิบายว่ามันเหมือน ‘เงินฝากประจำ’ กับธนาคารนั่นแหละ คือเราเอาเงินไป ‘ฝาก’ ไว้ (ถ้าเป็นโลกคริปโทฯ จะเรียกว่า ‘ล็อก’ เอาไว้) แล้วเราก็จะได้ ‘ดอกเบี้ย’ มาฟรีๆ เงินต้นไม่หาย (คริปโทฯ จะใช้คำเรียก ‘ดอกเบี้ย’ ที่เรียกรวมๆ ว่า Yield ซึ่งเป็นศัพท์ทางการเงินที่ปกติไม่แปลไทยกัน)

ง่ายๆ เท่านี้เองสำหรับผู้ใช้ และสิ่งที่ดูจะทำให้มันน่าสนใจที่สุดก็คือ ‘ผลตอบแทนดี’ คือขั้นต่ำๆ เลยก็ 4-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีสำหรับพวกสกุลคริปโทฯ ที่ถือว่า ‘ไม่ผันผวน’ เพราะมูลค่าผูกกับสกุลเงินจริง (ภาษาคริปโทฯ จะเรียก ‘เงินเฟียต’) เอาไว้ เช่นสกุลอย่าง USDT, USDC, BUSD, DAI ที่ล้วนมีจุดร่วมคือผูกกับสกุลดอลลาร์สหรัฐ

และถ้าหาดีๆ การได้ผลตอบแทนระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปีขึ้นไปก็มีแน่ๆ ซึ่งอัตราผลตอบแทนระดับนี้คือโหดมากๆ เพราะมันสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นสหรัฐที่เขามักจะประเมินว่า ซื้อหุ้นเอาไว้ก็ควรจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7-8 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

แล้วเงินที่เป็น ‘ดอกเบี้ย’ มาจากไหน? มันไม่ใช่ ‘แชร์ลูกโซ่’ ใช่ไหม? คำตอบมีแน่นอน

เอาจริงๆ คนทั่วๆ ไปจำนวนไม่น้อยก็ไม่รู้ว่าจริงๆ ‘ดอกเบี้ย’ เงินที่เราเอาไป ‘ฝากธนาคาร’ มาจากไหน ซึ่งถ้าคนมีพื้นฐานธุรกิจธนาคารหน่อยก็จะรู้ว่า ธนาคารเอา ‘เงินฝาก’ ของเราไปแปลงสภาพเป็น ‘เงินกู้’ แล้วเก็บดอกเบี้ยสูงๆ เอามาจ่ายดอกเบี้ยเราต่ำๆ แล้วธนาคารก็ ‘กินส่วนต่าง’ ตรงนั้น

แล้วระบบ Yield Farming ในโลกคริปโทฯ มัน ‘สร้างเงิน’ จากไหน? คำตอบคือมีหลากหลายมาก ตั้งแต่การเอาไป ‘ปล่อยกู้’ แล้วเก็บดอกเบี้ยแบบเดียวกับที่พวกธนาคารทำ การเอาไป ‘วางประกัน’ ระบบคริปโทฯ แล้วได้รับคริปโทฯ คืนมาฟรีๆ หรือเอาไปทำการ ‘ให้ยืม’ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ แล้วเก็บค่าธรรมเนียม

การ ‘ปล่อยกู้’ นี่คงไม่ต้องอธิบายกันเท่าไร เพราะมันเหมือนกับธุรกิจเงินกู้ทั่วไปเลย แค่เงินกู้มันเป็นคริปโทฯ (ส่วนทำไมคนถึงไปกู้ นี่ต้องอธิบายยาวหน่อย แต่เอาสั้นๆ คือมันมีระบบ ‘วางสินทรัพย์ค้ำประกัน’ ที่มูลค่ามากกว่าเงินกู้ไปเป็นเท่าตัว และระบบมันคือถ้าไม่จ่ายดอกเบี้ยถึงจุด มันจะริบสินทรัพย์อัตโนมัติเลย ดังนั้นไม่ต้องกลัวปัญหา ‘หนี้เน่า’ แบบที่เกิดกับธนาคาร) แต่อีกสองอย่างนี่อาจต้องการคำอธิบายหน่อย

การเอาไปคริปโทฯ ‘วางประกัน’ ในศัพท์เทคนิคจะเรียก Staking ซึ่งจริงๆ มันจะคล้ายๆ กับ ‘การขุด’ ของคริปโทฯ รุ่นก่อนๆ แต่คริปโทฯ รุ่นหลังๆ จะไม่ใช้ระบบนี้แล้วเพราะมัน ‘ทำให้โลกร้อน’ แต่จะใช้ระบบว่าบล็อกเปอร์เซ็นต์จะถูกสร้างอย่างสุ่มมาจาก สิ่งที่เรียกว่า ‘โหนดผู้ยืนยันธุรกรรม’ (validator node) ซึ่งใครโดนสุ่มให้ยืนยัน ก็จะได้คริปโทฯ ที่ผลิตใหม่มาฟรีๆ ไม่ต้องขุดให้ยุ่งยากแบบเมื่อก่อนแล้ว ระบบใหม่นี้จะ ‘สุ่ม’ เอาเลยว่าใครจะยืนยันและได้คริปโทฯที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ไป และใครจะเป็นผู้ยืนยันได้ ก็ต้องวางไอ้ ‘เงินวางประกัน’ นี่แหละ และที่ต้อง ‘วางประกัน’ ก็เพราะถ้ายืนยันธุรกรรมผิด ยืนยันธุรกรรมมั่ว เงินตรงนี้ก็จะถูกริบไป

สุดท้าย การเอาคริปโทฯ ไป ‘ให้ยืม’ ซึ่งในศัพท์เทคนิคจะเรียกว่า Liquidity Providing อันนี้อยากให้เข้าใจก่อนว่าในโลกคริปโทฯ ทุกวันนี้ มันมีพวกแพลตฟอร์มแบบที่เขาเรียกว่า ‘แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนไม่รวมศูนย์’ (decentralized exchange) มากมาย แพลตฟอร์มพวกนี้ในทางปฏิบัติคือโค้ดคอมพิวเตอร์เพียวๆ ไม่มีบริษัทที่จับต้องได้ ซึ่งตรงนี้ อยากให้ลองนึกถึงเวลาเราจะสร้าง ‘บริษัทรับแลกเงิน’ แต่เราไม่มีเงินเลย เราจะทำยังไง?

คำตอบง่ายๆ คือ เราก็ต้องไป ‘ยืมเงิน’ ชาวบ้านมา และให้ยืมเฉยๆ ใครมันจะไปยอม เราก็ต้องสัญญาว่าเราจะแบ่ง ‘ค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยน’ ให้ด้วย เช่น ถ้าเราจะตั้งบริษัทรับแลกเงินบาทไทยกับดอลลาร์สหรัฐ พื้นฐานเลยคือเราก็ต้องมีทั้งเงินบาทไทยและดอลลาร์สหรัฐอยู่ในมือจำนวนหนึ่ง สมมติง่ายๆ ว่า เราก็ต้องมีบาทไทยและดอลลาร์สหรัฐมูลค่าสักอย่างละ 1 ล้านบาทอยู่ในมือ และถ้าเราไม่มีเงินที่ว่า เราก็ต้องไปยืมเขามา ซึ่งสมมติง่ายๆ ว่าเราคิดค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยนครั้งละ 0.04 เปอร์เซนต์ เราก็บอกว่าเราขอ 0.02 เปอร์เซนต์ และคนที่ให้เงินเรายืมก็เอาไป 0.02 เปอร์เซนต์ แบ่งกันครึ่งๆ แฟร์ๆ ดี เราลงแรง เขาลงเงิน

ตรงนี้ถ้าเราเป็นคนที่ ‘ไว้ใจได้’ คนก็จะกล้าให้เรายืมเงิน เพราะดีกว่าวางอยู่เฉยๆ มันมี ‘ค่าตอบแทน’ ของการเอาเงินไปยืมเพื่อทำธุรกิจอย่างที่ว่านี้ ซึ่งถ้าคนมาแลกเปลี่ยนเยอะ เงินก็ยิ่งได้เยอะเช่น สมมติคนให้เรายืมเงินไป 1 ล้าน แล้วเราเป็นคนที่ทำการตลาดดี คนมาแลกเงินเยอะ ภายใน 1 สัปดาห์ เงินมันถูกแลกไปมา 100 รอบ ผลตอบแทนที่เกิดจาก ‘ค่าธรรมเนียม’ มันก็จะรวมกันสูงถึง 40,000 บาท ซึ่งเราก็แบ่งกันกับคนที่ให้เรายืมเงินคนละครึ่ง เราได้เงิน 20,000 บาท มาโดยไม่ต้องมีทุนอะไรเลย ส่วนคนให้เรายืมเงินก็สร้างรายได้ 20,000 บาทจากเงิน 1 ล้านบาทในสัปดาห์เดียว มันเป็นอัตราผลตอบแทนที่ดีสุดๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับคริปโทฯ คือแบบนี้ มันมีคนตั้ง ‘แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเงิน’ มาแบบดิบๆ เลย และประกาศว่าถ้าใครเอาเงินมาเป็นเงินกองกลางของการแปลกเปลี่ยน (ในทางเทคนิคจะใช้คำว่าเอาเงินมาลง Liquidity Pool) ก็จะได้ส่วนแบ่งของค่าธรรมเนียมไปฟรีๆ พอประกาศไปแบบนี้ พร้อมกับประเมินผลตอบแทนให้ดูน่าสนใจ คนก็เอาเงินมาลงแล้ว

อันนี้คือตัวอย่างง่ายๆ ว่าเงินในสารบบคริปโทฯ ที่เราเอาไปทำ Yield Farming มัน ‘สร้างรายได้’ จริงๆ จนเอามาจ่ายเป็น ‘ดอกเบี้ย’ ให้เราได้อย่างไร ดังนั้นในเชิงคอนเซปต์ ไม่ต้องเป็นห่วง มันไม่ใช่แชร์ลูกโซ่แน่นอน เพราะระบบมันวางอยู่บนฐานของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มัน ‘สร้างรายได้’ ได้จริงๆ ในบางแบบ

นี่คือภาพรวมๆ ของสิ่งที่เรียกว่า Yield Farming คำถามต่อมาคือ แล้วเราจะหาผลตอบแทนแบบนี้จริงๆ ได้ที่ไหน? พวก ‘มือโปร’ เขาก็จะแนะนำพวกแพลตฟอร์มคริปโทฯ แท้ๆ ที่เรียกรวมๆ ว่า DeFi (ย่อมาจาก Decentralized Finance หรือระบบการเงินแบบไม่รวมศูนย์) เพราะผลตอบแทนสูงสุดจะอยู่ที่นี่ แต่ ‘ข้อเสีย’ ก็คือ ถ้าเราเลือกพวกนี้ซี้ซั้ว โอกาสจะโดนโกงหรือเชิดเงินหนีดื้อๆ ก็มี และมีมาเยอะมากๆ ตลอดปี 2021 เพราะสเต็ปพื้นฐานก็คือ ‘อาชญากร’ จะสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมา เสนอผลตอบแทนแบบสูงเวอร์ๆ คนที่เห็นผลตอบแทนสูงจนหน้ามืดก็จะเอาเงินไป ‘ล็อก’ หรือ ‘ฝากประจำ’ ไว้ในระบบ แล้ววันดีคืนดี แพลตฟอร์มก็ปิดหนีไปเลย เชิดเงินหายไปดื้อๆ เลย สิ่งแบบนี้เป็นภาวะที่เหล่า ‘นักเลงคริปโทฯ ’ เรียกกันว่า Rug Pull ซึ่งก็คือเหมือนยืนอยู่บนพรมแล้วถูกดึงพรมออกจนหัวทิ่มหน้าคะมำ

ดังนั้นเส้นทางแบบนี้บอกตรงๆ เลยว่า ‘ยาก’ สำหรับคนทั่วไป และมี ‘ความเสี่ยง’ สูงมาก และก็ไม่มีใครควรจะแนะนำให้คนทั่วๆ ไปที่ซื้อคริปโทฯ ที่ไหนยังไงยังงงลองใช้

อย่างไรก็ดีพวกแพลตฟอร์มคริปโทฯ ใหญ่ๆ ทุกวันนี้มันก็เริ่มมีระบบพวกนี้มากันหมดแล้ว Binance มีมากมายแบบเยอะจนงง พวก FTX, Kraken, Gemini ก็มีแน่นอน หรือถ้าเป็นแพลตฟอร์มในไทยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจกระดานเทรดคริปโทฯ จาก กลต. ของไทยเลยอย่าง Zipmex ก็มี

ซึ่งรวมๆ แล้วสิ่งนี้ในแพลตฟอร์มพวกนีก็จะเรียกกันว่า Earn หรือ ‘รับโบนัส’ ‘รับรายได้’ อะไรก็ว่าไป มันก็คือสิ่งที่ในทางเทคนิคเรียกว่า Yield Farming ดังที่เล่ามาทั้งนั้น คำนี้คือคอนเซปต์ใหญ่ การเอาคริปโตไป ‘ล็อก’ หรือ ‘ฝากประจำ’ เอาไว้โดยจะมีผลตอบแทนคืนมา รวมๆ เรียก Yield Farming หมด ไม่ว่า ‘ผลตอบแทน’ ที่ว่า จะมีแหล่งที่มาจากอะไรก็ตาม

ผลตอบแทนของ Yield Farming ค่อนข้างดีมาก และค่อนข้างจะ ‘ปลอดภัย’ ถ้าเราเลือกแพลตฟอร์มดีๆ จึงไม่แปลกเลยว่าแม้แต่สื่อการเงินดั้งเดิมเจ้าใหญ่ๆ อย่าง Bloomberg, Business Insider, Forbes, Financial Times ก็เริ่มพูดถึงและอธิบายว่ามันคืออะไรมาแล้วตั้งแต่ปลายปี 2021 และก็ไม่น่าแปลกใจว่ามันจะกลายมาเป็นการลงทุนแนวใหม่ที่จะ ‘ฮ็อต’ มากๆ ในปี 2022

เพราะสุดท้าย ในเชิง ‘ความยาก’ นี่คือการลงทุนในคริปโทฯ ที่ ‘ง่ายที่สุดและเสี่ยงน้อยที่สุด’ แล้ว ไม่ต้องไปดูตัวชี้วัดทางเทคนิคแบบนักเทรดระยะสั้น หรือต้องไปประเมินปัจจัยพื้นฐานว่าเหรียญอะไรจะโตแบบนักเก็งกำไรระยะยาว มัน ‘สร้างรายได้’ ง่ายๆ แบบฝากเงินกับธนาคารเลย ทั้งที่ผลตอบแทนดีพอๆ กับการลงทุนในตลาดหุ้น

แน่นอนว่าทั้งหมดมันฟังดู ‘ดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง’ จนคนคิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าไปดูว่าระบบเศรษฐกิจมูลค่าหลักล้านล้านเหรียญสหรัฐของคริปโทฯ มัน ‘สร้างเงิน’ ยังไง เราก็จะเข้าใจว่า จริงๆ ผลตอบแทนพวกนี้ไม่ได้สูงอะไรเลย เพราะผลตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์ที่ฟังดูเยอะแล้วสำหรับตลาดหุ้นมันเล็กน้อยมากสำหรับโลกคริปโทฯ ที่การผลตอบแทนระดับ 1,000-10,000 เปอร์เซ็นต์ ในปีเดียวมันไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไร และผลตอบแทน 100 เปอร์เซ็นต์ต่อปีก็แทบจะเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ ในภาพรวม

อย่างไรก็ดี ดังเช่น ‘การลงทุน’ ทุกอย่าง ที่เราไม่ควรจะ ‘หน้ามืด’ กับผลตอบแทน เพราะ ‘ความเสี่ยง’ มันมี และมีมากกว่ารูปแบบการลงทุนอื่นๆ ที่ถูกกำกับดูแลอย่างละเอียดและเข้มงวดแน่ๆ ประเด็นมันเลยเป็นว่าเราจะเข้าใจ ‘ความเสี่ยง’ พวกนี้และ ‘จัดการ’ กับมันได้ดีแค่ไหน เพราะก็เหมือนกับทุกการลงทุน การทำความเข้าใจในสิ่งที่เราลงทุนทั้งในระดับตัวมันเองและในเชิงระบบเป็นสิ่งที่ควรจะทำแน่ๆ เพราะมัน ‘ลดความเสี่ยง’ ในการลงทุนไปอย่างมหาศาล

และความเข้าใจตรงนี้มันก็จะทำให้ ‘สมดุล’ ระหว่าง ‘ความเสี่ยง’ และ ‘ผลตอบแทน’ ของเราขยับไปในทาง ‘ผลตอบแทน’ ได้มากขึ้น

อ้างอิง