‘บ้านวินด์เซอร์’ บ้านขนมปังขิงอายุ 200 กว่าปี ที่อบอวลด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม
‘คลองสาน’ ถือเป็นหนึ่งในย่านประวัติศาสตร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สำคัญของกรุงเทพฯ ที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ยึดโยงวิถีชีวิต ความเชื่อ และผู้คน ที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ย่านนี้เข้าไว้ด้วยกัน จนทำให้คลองสานมีความสำคัญในฐานะพื้นที่เชิงประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฝั่งธนบุรีที่เราสามารถเรียนรู้ ศึกษาความเป็นมา ตลอดจนวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบันได้
แต่ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่แม้ไม่ได้อยู่ในย่านคลองสานโดยตรง แต่ก็ใกล้ในระดับเดินเท้าได้ และมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นก็คือ ‘บ้านวินด์เซอร์’ หรือบางคนก็เรียกว่า ‘บ้านขนมปังขิง’
หากเราเดินจากคลองสาน ลัดเลาะริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านเหนือมาเรื่อยๆ ไปตามทางเดินริมแม่น้ำ เราก็พบกับ ‘บ้านวินด์เซอร์’ เรือนไม้เก่าแก่อายุ 200 กว่าปี ตั้งตระหง่านอยู่ในย่านชุมชนกุฎีจีน แม้ว่ากาลเวลาจะทำให้ตัวบ้านชำรุดทรุดโทรม แต่ยังคงหลงเหลือร่องรอยความสวยงามให้เราได้เห็นด้วยตาตัวเอง
ตามหลักฐานที่ส่วนใหญ่ได้จากปากคำของผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชน เล่าว่า บ้านวินด์เซอร์เป็นบ้านของ ‘สมบุญ วินด์เซอร์’ ลูกสาวของเจ้าของโรงสีในคลองบางหลวง ที่แต่งงานกับ ‘หลุยส์ วินด์เซอร์’ บุตรชายของ ‘การ์เนียร์ วินด์เซอร์’ กัปตันเรือชาวอังกฤษ (กัปตันการ์เนียร์ เป็นคนแรกที่เป็น เจ้าของเรือกลไฟในไทย เดินเรือค้าขายระหว่างกรุงเทพฯ–สิงคโปร์–ฮ่องกง–ซัวเถา รวมถึงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปเป็นล่ามของราชทูตสยามที่ออกไปทำหนังสือสัญญาเจริญทางพระราชไมตรีกับฝรั่งเศส ในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 จนได้รับ พระราชทานสัญญาบัตรเป็น ‘ขุนจำนงดิฐการ’ หรือ ‘ขุนสมุทรโคจร’ จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4)
กล่าวสำหรับ ‘ตระกูลวินด์เซอร์’ นั้น นับว่าเป็นตระกูลคหบดีที่มีบทบาทสำคัญด้านการค้าของไทย ในยุครัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งกิจการห้างวินด์เซอร์ หรือห้างสี่ตา บริเวณถนน เจริญกรุง เป็นเจ้าแรกที่ทำการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ นอกจากนี้ตระกูลวินด์เซอร์ยังมีบทบาทกับศาสนาคริสต์ในประเทศไทย ทั้งร่วมบริจาคทรัพย์ เพื่อการบูรณะซ่อมแซม และทำนุบำรุงโบสถ์ซางตาครู้สเรื่อยมา
และเมื่อหลุยส์ วินด์เซอร์ ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากอยู่ในชุมชนกฎีจีน บนที่ดินของโบสถ์ซางตาครู้ส (ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) จึงมาสร้างบ้านขึ้นที่ บ้านเลขที่ 130 แต่บางข้อมูลที่ได้จากผู้เฒ่าผู้แก่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น บอกว่าบ้านที่เห็นปัจจุบันนี้เป็นบ้านของญาตินางสมบุญและนายหลุยส์ ส่วนบ้านของนายหลุยส์จริงๆ นั้นผุพังไปนานแล้ว แต่ก็ตั้งอยู่ติดกัน (ปัจจุบันเป็นพื้นที่รกร้าง)
นอกเหนือจากเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์แล้ว บ้านวินด์เซอร์ยังมีเรื่องราวเชิงศิลปวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าด้านสถาปัตยกรรม ที่แม้ภายนอกเป็นเรือนไม้โบราณที่เก่าแก่ทรุดโทรม ทว่ายังทิ้งลวดลายอันวิจิตรงดงามของแผ่นไม้ฉลุที่พอจะเป็นหลักฐาน ทำให้เราจินตนาการได้ว่า อดีตเรือนไม้หลังนี้สวยงามเพียงใด
บ้านวินด์เซอร์มีลักษณะเป็นบ้านไม้สองชั้น ผังของบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผังพื้นตรงกันทั้งชั้นบนและชั้นล่าง สำหรับตัวบ้านหันหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ขณะที่พื้นส่วนล่างถูกยกขึ้นสูง ด้วยการก่ออิฐถือปูนเป็นเสาตอม่อขนาดใหญ่ เพื่อรองรับพื้นไม้ชั้นล่าง มีมุขด้านหน้าตกแต่งด้วยซุ้มโค้ง เดิมทีอาจเป็นระเบียง เพราะมีพนักระเบียง และต่อมาอาจทำผนังและหน้าต่างเพิ่มเติมกั้นเป็นห้อง
ความโดดเด่นที่ชวนสะดุดตาจนต้องพูดถึงเลยก็คือ ลวดลายประดับเรือน ‘ขนมปังขิง’ ที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงรัชกาลที่ 5 ภายนอกตัวบ้านมีการประดับตกแต่ง ด้วย ‘ไม้ฉลุ’ เป็นลวดลายตามตำแหน่งหน้าจั่ว ช่องระบายอากาศ ลูกกรงระเบียง และชายคาโดยรอบ
ส่วนภายในตัวบ้านจากคำบอกเล่านั้น ตกแต่งด้วยประตูบานเฟี้ยมแกะเป็นลวดลายนกยูง ปรากฏร่องรอยกระสุนจากเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน เสาไม้แกะสลักลวดลายดอกไม้ประดับหัวเสา ช่องลมแกะสลักไม้ฉลุ หน้าต่างเป็นหน้าต่างไม้เปิดคู่ ลูกฟักไม้บานเกล็ดแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนล่างเป็นบานกระทุ้งขอสับ กำแพงบ้านเป็นกำแพงอิฐเก่าแก่ ซุ้มประตูมีลวดลายปูนปั้นประดับหน้าจั่วสวยงาม
ยังมีส่วนที่ตกแต่งเป็นพิเศษ ด้วยการประดับลายไม้ฉลุซ้อนอยู่บนผนังจริงอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งแต่ละลวดลายคั่นด้วยไม้กลึงขนาดใหญ่เป็นระยะ ชั้นล่างมีระเบียงไม้ฉลุบริเวณส่วนมุข และคั่นกลางด้วยประตูเตี้ยที่ฉลุลวดลายเต็มพื้นที่
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบ้านวินด์เซอร์มีเจ้าของผู้ดูแล คือ ‘สมสุข จูฑะโยธิน’ ทายาทตระกูลวินด์เซอร์ ที่ตอนนี้มอบให้กรมศิลปากร เพื่อผลักดันให้มีการอนุรักษ์ โดยขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และบูรณะฟื้นฟูสู่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นริมน้ำย่านกุฎีจีน เพื่อเป็นหลักฐานทางโบราณคดี โดยเฉพาะแขนงวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม และแหล่งเรียนรู้ของชุมชนตลอดจนสาธารณะ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำคัญและคุณค่าของบ้านวินด์เซอร์ ยังคงเสน่ห์อันเก่าแก่ที่ไม่สามารถสร้างใหม่ได้ จึงนับว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมสำคัญของริมน้ำเจ้าพระยา ย่านกุฎีจีน–คลองสาน ที่มีเรื่องราวควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ ให้คนรุ่นใหม่ได้ชื่นชมและเรียนรู้สืบต่อไป
อ้างอิง
- museumsiam. บ้านวินด์เซอร์. http://tinyurl.com/46rdw2zm
- สมาคมสถาปนิกสยาม. (2552). ทัศนาสถาปัตย์ : “บ้านวินด์เซอร์” เรือนขนมปังขิงแห่งโค้งหัวแหวนแห่งเจ้าพระยา. http://www.asa.or.th/th/node/100763
- บ้านวินเซอร์ ตำนานบ้านโบราณกุฎีจีน https://www.mcot.net/view/uKpjskbZ