4 Min

ทำไมมันเป็น ‘เรื่องธรรมชาติ’ ที่เราจะหัวเราะ ‘คนอื่น’ ทั้งที่เขาไม่ชอบ

4 Min
764 Views
15 Dec 2021

Select Paragraph To Read

  • ปัญหาคือมันเป็น ‘เรื่องธรรมชาติ’ เหรอที่มนุษย์จะเป็นแบบนี้
  • กุญแจของเสียงหัวเราะมันไม่ใช่ ‘เรื่องร้าย’ แต่เป็น ‘คนอื่น’ ต่างหาก
  • พูดอีกแบบ ในยุคปัจจุบันที่เราห้ามล้อตัวตนคนเป็นๆ อีกต่อไป สิ่งที่เราจะพอ ‘ขำ’ ได้อย่าง ‘ปลอดภัย’

ในยุคปัจจุบัน ภายใต้บรรยากาศทางความคิดใหม่ๆ และ ‘มาตรฐานชุมชน’ ของเว็บไซต์โซเชียลมีเดียสารพัดสิ่งที่เคยเป็นสิ่งที่ไร้พิษภัยถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ลักษณะ ‘คุกคาม’ ไปหมด

ซึ่งสิ่งที่ดูจะไร้พิษภัยแต่กลายมา ‘เป็นพิษ’ ที่สุดดูจะเป็น ‘เรื่องตลก’ ที่ทุกวันนี้ถูกจัดประเภทละเอียดยิบ ไม่ว่าจะเป็น มุกตลกเหยียดผู้หญิง การล้อเลียนคนดำ การขำกับอุบัติเหตุของคนพิการ ฯลฯ และสิ่งเหล่านี้กลายเป็น ‘เรื่องต้องห้าม’ ไปหมด จนหลายๆ คนเริ่มสงสัยว่าทุกวันนี้เราจะขำกับเรื่องราวอะไรในโลกแห่งความเป็นจริงได้อีก?

ภาวะแบบนี้มีที่มาที่ไป เพราะมันเกิดขึ้นพร้อมกับกระแส ‘ความถูกต้องทางการเมือง’ ในโลกภาษาอังกฤษ ที่มาพร้อมกับระเบียบทางวัฒนธรรมว่า ต่อจากนี้ไป เราห้ามไปหัวเราะใส่ ‘ผู้ถูกกดขี่’ ในทุกกรณี และสิ่งเดียวที่เราหัวเราะใส่ได้คือ ‘ผู้มีอำนาจ’ เท่านั้น เช่น คุณจะล้อเลียนเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ นายกฯ หรือประมุขของประเทศได้ แต่คุณจะมาล้อเลียนชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ คุณจะมาล้อเลียน ผู้หญิง คนดำ LGBT คนพิการ หรือคนด้อยอำนาจอื่นๆ ไม่ได้

กระบวนการนี้ ดูจะเป็นกระบวนการที่ทำให้รูปแบบการแสดงออกของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่โบราณของมนุษย์อย่างอารมณ์ขันมันกลายมาเป็น ‘อาวุธ’ โดยสมบูรณ์

ปัญหาคือมันเป็น ‘เรื่องธรรมชาติ’ เหรอที่มนุษย์จะเป็นแบบนี้

วิทยาศาสตร์ดูจะไม่เป็นเช่นนั้น

ในทางวิวัฒนาการ การหัวเราะพบได้ตั้งแต่ในสัตว์ตระกูลลิงแล้ว โดยมันเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติที่ ใช้เพื่อยืนยัน ‘ความเป็นกลุ่มเดียวกัน’ ของสิ่งมีชีวิต หรือพูดอีกแบบ การที่คุณขำกับมุกใดๆ ร่วมกัน มันแสดงว่าคุณเป็นคนกลุ่มเดียวกัน

ซึ่งแทบจะร้อยทั้งร้อยในประวัติศาสตร์มนุษย์ การหัวเราะใดๆ เราหัวเราะใส่ ‘คนอื่น’ เสมอ และก็มักจะเป็นการหัวเราะใส่ ‘เรื่องร้าย’ ของพวกเขาเสียด้วย และนี่เป็นสิ่งที่ ‘สากล’ ระดับชนชาติที่มักจะถูกล้อเลียนว่า ‘ไร้อารมณ์ขัน’ อย่างเยอรมันได้บัญญัติศัพท์มาเรียกเลยสิ่งนี้ว่า Schadenfreude ซึ่งแปลตรงๆ ว่า ‘ความหฤหรรษ์ที่เกิดจากเรื่องร้ายที่เกิดกับผู้อื่น’ (คำนี้ถูกใช้ทัพศัพท์ในภาษาอังกฤษเลย เพราะอังกฤษไม่มีคำนี้)

แน่นอน ‘ความหฤหรรษ์ที่เกิดจากเรื่องร้ายที่เกิดกับผู้อื่น’ ดูจะเป็นสิ่งที่สังคมปัจจุบันรับไม่ได้ โดยเฉพาะถ้านั่นเป็นการหัวเราะใส่ ‘ผู้ไร้อำนาจ’ ในสังคม แต่ในความเป็นจริงทั้งบันทึกทางประวัติศาสตร์และงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็ล้วนยืนยันตรงกันว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดและเป็น ‘ธรรมชาติมนุษย์’

เพราะประเด็นจริงๆ มนุษย์ไม่ได้ขำขันกับ ‘เรื่องร้าย’ ของ ‘คนไร้อำนาจ’ เท่านั้น แต่มันขำกับสารพัดสิ่งที่เป็นเรื่องของ ‘คนอื่น’

กุญแจของเสียงหัวเราะมันไม่ใช่ ‘เรื่องร้าย’ แต่เป็น ‘คนอื่น’ ต่างหาก

ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ถ้าย้อนกลับไปเรื่องวิวัฒนาการ เราจะเห็นว่าพื้นฐานของการหัวเราะ มันเป็นพฤติกรรม ‘ก่อนมีภาษา’ ในการแสดงความเป็นกลุ่มเดียวกัน ดังนั้นในแง่หนึ่งเป้าของการหัวเราะมันเลยต้องอยู่ ‘นอกกลุ่ม’ หรือเป็น ‘คนอื่น’

แต่ ‘คนอื่น’ ที่นี้ไม่ได้ตายตัว แต่คือคนที่อยู่ ‘นอกวงสนทนา’ ก็พอ

อันนี้หลายๆ คนที่ ‘มุกเยอะ’ อาจ ‘อ๋อ’ ในสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอดแต่ไม่รู้ตัว เพราะกุญแจของการเล่นมุกที่ดีคือการไม่ทำให้คนฟังแม้แต่คนเดียว ‘โกรธ’ ดังนั้น ‘เป้าที่ปลอดภัย’ ของมุกมันเลยต้องเป็นคนที่อยู่นอกวงเสมอ และคนที่อยู่นอกวงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนด้อยโอกาสอะไร แต่อาจจะเป็นหัวหน้างานที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาของลูกน้อง อาจเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาของผู้ชาย หรืออาจเป็นแค่เพื่อนที่ไม่ได้มาตามนัดกินเหล้าในวันนั้นก็ได้

ไอ้ความเป็น ‘คนอื่น’ ที่เป็นเงื่อนไขของความตลก มันเลยทำให้มุกตลกบนฐานของ ‘ภาพเหมารวม’ (stereotype) นั้นฮิตมาก เพราะเป็นปกติของมนุษย์ที่จะเหมารวมคนกลุ่มอื่นๆ ทั้งหมดยกเว้นพวกตัวเองที่มีความแตกต่างหลากหลายสารพัด

ทีนี้ตัดมาปัจจุบัน การสร้าง ‘ภาพเหมารวม’ ใดๆ มันถูกทำให้กลายเป็นอาชญากรรมทางวัฒนธรรมไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเราจะเล่นมุกพวกนี้ในที่สาธารณะหรือเล่นกับคนไม่รู้จักไม่ได้ และซึ่งจริงๆ มิติพวกนี้ลองไปดูความเปลี่ยนแปลงในหนังฮอลลีวูดก็ได้ที่ 10 ปีหลังเราจะไม่เห็นมุกพวกนี้เท่าไรเลย

‘หนังเข้าโรง’ ที่เล่นอะไรทำนองนี้แบบสุดลิ่มทิ่มประตูที่นึกออกเร็วๆ ก็ได้แก่ Iron Sky ในปี 2012 ที่เป็นหนังฝั่งยุโรป แต่ทางฝั่งอเมริกา การเล่นอะไรพวกนี้มัน ‘ต้องห้าม’ ขึ้นไปเรื่อยๆ และ ‘ความตลก’ ที่เหลืออยู่มันเลยเป็นความตลกในเรื่องราวของตัวละครเองที่ห้ามอิงกับความเหมารวมใดๆ ในโลกความเป็นจริง ซึ่งถ้าดูในหนัง MCU เราก็จะได้เห็นในมุกตลกที่เล่นกับตัวตนของฮีโร่เอง แต่เราจะไม่เห็นมุกตลกคนดำในหนังอย่าง Black Panther หรือมุกตลกคนจีนในหนังอย่าง Shang-Chi

พูดอีกแบบ ในยุคปัจจุบันที่เราห้ามล้อตัวตนคนเป็นๆ อีกต่อไป สิ่งที่เราจะพอ ‘ขำ’ ได้อย่าง ‘ปลอดภัย’

ก็มีแต่พวกตัวละครในหนังเท่านั้น เพราะถ้าการหัวเราะคนที่มีตัวตนจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อไร คนจะมองเป็นประเด็นทางการเมืองทันที

ในแง่นี้ ภาวะที่เกิดขึ้นในตอนนี้ที่คนไม่สามารถหา ‘สิ่งที่หัวเราะร่วมกันได้’ อีกแล้วในขั้วการเมืองที่ต่าง มันก็ดูจะเป็นอาการที่ไม่ดีเท่าไรของมนุษยชาติ แต่สำหรับฝ่ายที่มองว่าตัวเอง ‘ก้าวหน้า’ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายถ้าสังคมมนุษย์จะเท่าเทียมขึ้น เพราะมันไม่ควรจะมีผู้ไร้อำนาจใดๆ ตกเป็นเป้าของเสียงหัวเราะที่เขาไม่อนุมัติอีก

อย่างไรก็ดี ถ้าคิดต่อไป ความ ‘ก้าวหน้า’ ของการ ‘ไม่หัวเราะผู้อื่น’ นี้ปลายทางมันจะคืออะไรถ้ามนุษยชาติเป็นหนึ่งเดียวกันหมด? เมื่อมันไม่มี ‘ผู้อื่น’ อีกต่อไป คำถามคือแล้วเสียงหัวเราะจะไปไหน? และนี่อาจจะเป็นที่มาของวลีที่ว่า ‘The Left Can’t Meme’ เพราะว่ากันตามตรรกะแล้ว สังคมอุดมคติปลายทางของ ‘ฝ่ายก้าวหน้า’ ที่เชื่อว่าการเปลี่ยนวัฒนธรรมจะทำให้มนุษย์เท่ากันหมดนั้น ณ จุดที่มนุษย์เท่ากันจริงๆ เราก็น่าจะไม่เหลืออะไรให้ขำอีก

หรือเราจะถอยหา ‘ความพอดี’ ในแบบยุคก่อนที่มองว่าเสียงหัวเราะมันไม่ใช่สิ่งมีพิษภัยอะไร มองว่า ‘ความไม่พอใจ’ ต่อ ‘การแสดงออก’ ของผู้อื่นมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นผิดบาปต้องปราบปรามอะไร แต่เป็นเรื่องปกติในสังคมเสรีที่มีเสรีภาพทางการแสดงออก ที่ตราบใดที่ ‘การแสดงออก’ ใดๆ มันไม่ได้นำไปสู่การก่อความรุนแรงทางกายภาพอย่างชัดแจ้งมันก็เป็นสิ่งที่ต้อง ‘อดกลั้น’ ทั้งสิ้น

อ้างอิง: