3 Min

ทำไมนักเพาะกายถึงมีแนวโน้ม ‘อ้วน’ ตามนิยามทางการแพทย์?

3 Min
6 Views
17 Oct 2025

ทุกวันนี้แม้ว่าเราจะเลยยุคที่เรียกว่า ‘Woke’ กันมาแล้ว การพูดถึงภาวะ ‘อ้วน’ ว่าเป็น ‘ภาวะปกติที่ต้องเคารพ’ ไม่ใช่ ‘ปัญหาสุขภาพที่ต้องรักษา’ ก็ยังดำเนินไปอยู่

และส่วนหนึ่งที่ภาวะอ้วนไม่ใช่โรค ก็เป็นเพราะแม้ว่าองค์กรทางการแพทย์บางกลุ่มจะมองว่าเป็นโรคแล้ว แต่ในภาพใหญ่ ‘ความอ้วน’ ยังเป็นแค่ ‘ปัจจัยเสี่ยงต่อโรค’ เท่านั้น ไม่ใช่ตัวโรคเอง เช่นในการแพทย์กระแสหลักปัจจุบัน เราสามารถพูดได้ว่าถ้าคนคนหนึ่งอ้วน เขาจะมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดสารพัด แต่เราจะบอกว่า ‘ความอ้วน’ เองคือ ‘ความเจ็บป่วย’ ไม่ได้

และที่มันเป็นแบบนี้ก็เกิดจากนิยาม ‘ความอ้วน’ ทางการแพทย์ที่มีปัญหา

ในทางการแพทย์ การนิยามความอ้วนวางอยู่บนฐานดัชนีมวลกาย หรือ BMI มาช้านาน ซึ่งค่านี้ก็คำนวณได้ไม่ยากเลย มันคือ น้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2 เช่น ถ้าคนหนัก 75 กิโลกรัม สูง 1.72 เมตร ค่า BMI ก็จะเป็น 75/1.72^2 ซึ่งออกมาได้ค่า 25.35 เป็นต้น

โดยเกณฑ์แบบนี้หลักๆ ถ้าค่า BMI เกิน 25 จะเรียกว่า ‘น้ำหนักเกิน’ (overweight) และเกิน 30 ก็จะเรียกว่า ‘อ้วน’ (obese) เป็นต้น โดยเกณฑ์พวกนี้ แพทย์ก็ยังใช้ประกอบคำแนะนำด้านสุขภาพว่าคุณควรจะ ‘ลดน้ำหนัก’ หรือไม่ ตอนไปตรวจสุขภาพประจำปีอะไรพวกนี้อยู่

การใช้นิยามแบบนี้หาคนที่อ้วน อาจฟังดูไม่มีปัญหา แต่ในความเป็นจริงมีปัญหามาก เพราะว่าถ้าเกณฑ์แบบนี้ ‘นักกล้าม’ แบบคนที่มีกล้ามเป็นมัดๆ ทั้งตัว ก็อาจเข้าข่าย ‘น้ำหนักเกิน’ ไปจนถึง ‘อ้วน’ ก็ได้

ตัวอย่างที่น่าจะจับต้องได้ง่ายๆ เลยคือ ‘อาร์โนลด์ ชวาร์ซเนกเกอร์’ (Arnold Schwarzenegger) ชายงามนักกล้ามในตำนานคนหนึ่งแห่งยุคปัจจุบัน ผู้ผันตัวเป็นดาราหนังแอ็กชันระดับตำนานเช่นกัน (และเป็นนักการเมืองในภายหลัง)

อาร์โนลด์ช่วงพีกๆ ตอนเป็นนักเพาะกาย เขาหนัก 110 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.88 เมตร นี่เลยทำให้ค่า BMI ของเขาคือ 31.12 และนั่นหมายความว่าถ้าตามนิยาม BMI อาร์โนลด์ถือว่าเป็น ‘คนอ้วน’

แน่นอน นี่ฟังดูน่าขัน แต่มันชี้ให้เห็นปัญหาของ BMI ได้ดีมาก เขาก็เลยจะบอกกันว่า BMI นั้นใช้ไม่ได้กับ ‘นักเพาะกาย’

แต่ปัญหาคือ ในยุคหลังๆ คนเริ่มออกกำลังกายและพัฒนากล้ามเนื้อกันมากขึ้น มันเลยทำให้เส้นแบ่งระหว่างคนทั่วไปกับนักเพาะกายไม่ได้ชัดขนาดนั้น และคำถามคือคุณต้องเข้ายิมบ่อยแค่ไหน? ต้องกล้ามโตแค่ไหน การวัดค่า BMI ถึงจะใช้กับคุณไม่ได้? เพราะอย่างน้อยๆ คนที่โดนหมอติว่าน้ำหนักเกิน จำนวนไม่น้อยไป ‘เข้ายิม’ และก็พบว่าตัวเองยิ่งเล่น น้ำหนักไม่ลง แต่กลับมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นๆ คำถามคือต้องมีกล้ามเนื้อเยอะแค่ไหนที่จะนับว่า ‘ไม่อ้วน’?

นี่เลยทำให้ยุคหลังๆ เขาพยายามจะปรับว่าจะดูแต่ BMI ไม่ได้ และต้องดูปริมาณกล้ามเนื้อและไขมันประกอบด้วย โดยค่าพวกนี้ เครื่องชั่งสมัยใหม่บอกได้หมด ผ่านการประมวลผลด้วยการใช้คลื่นไฟฟ้าวิ่งผ่านร่างกายเพื่อประเมินว่าวิ่งผ่านกล้ามเนื้อและไขมันเท่าไร 

พูดง่ายๆ มันทำให้เกิดเกณฑ์ใหม่ว่า ถ้าคุณมีระดับไขมันอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าปกติ ถึงคุณจะมีค่า BMI เกิน 30 คุณก็จะไม่ถูกนับว่าอ้วน หรือกระทั่งน้ำหนักเกิน

และกลับกับ การดูค่าไขมันด้วยก็จะทำให้คนที่น้ำหนักเท่ากัน ส่วนสูงเท่ากัน คนหนึ่งก็อาจถือว่า ‘มีความเสี่ยงโรคอ้วน’ อีกคนจะถือว่าร่างกาย ‘ปกติ’ ก็ได้ ถ้าคนแรกมีสัดส่วนไขมันในร่างกายสูงกว่าคนปกติมาก

แน่นอนอีกว่านี่ก็ฟังดูสมเหตุสมผล แต่สิ่งที่ยากคือ มันก็ต้องมาคุยกันอีกว่าปริมาณกล้ามเนื้อและไขมันเท่าไรถึงจะจัดว่า ‘มาก’ เพราะค่าเหล่านี้ก็มีข้อถกเถียงของตัวมันเองอยู่ว่า ‘เส้นแบ่ง’ ควรจะอยู่ที่ตรงไหน

พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าตรงนี้เถียงกันยังไม่จบดี เราก็จะนิยามโรคอ้วนได้ไม่ชัดอยู่ดี แม้ว่าทุกคนจะเห็นตรงกันว่าค่า BMI เป็นสิ่งที่มีปัญหา เพราะมันมองข้ามปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย ระดับที่บอกว่านักเพาะกายเป็น ‘คนอ้วน’ ตามนิยามได้

กล่าวโดยสรุปคือ ถึงตอนนี้แม้ว่าทุกฝ่ายจะบอกว่า BMI เป็นสิ่งที่มีปัญหา แต่ไม่มีใครมีข้อเสนอในการวัด ‘ความอ้วน’ ใหม่ที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้ มันก็เลยยังถูไถใช้ค่า BMI ในการวัดความอ้วนต่อไปนั่นเอง

อ้างอิง: