พระเจ้า มนุษย์ จักรกล เอเลี่ยน: ประเด็นอภิปรัชญาน่าขบคิดจากหนัง ‘Prometheus’ และ ‘Alien: Covenant’ by Watchman

22 Min
19989 Views
06 Jun 2022

อะไรคือพระเจ้า? ใครสร้างเรามา? แล้วเราเกิดมาทำไม? เป็นคำถามเชิงอภิปรัชญาว่าด้วยชีวิต โชคชะตา และเจตจำนงที่ทำให้เกิดการขบคิด ก่อกำเนิดทฤษฎีไม่จบไม่สิ้น ตลอดระยะเวลาตั้งแต่มนุษย์ได้ก่อร่างสร้างอารยธรรมก็มีความพยายามในการหาคำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือลัทธิในฐานะแขนงหนึ่งของทฤษฎีที่ทำการเผยแพร่ความเชื่ออย่างแรงกล้าซึ่งต่างก็เชื่อว่านั่นเป็นความจริงแท้ ไปจนถึงกระบวนการวิทยาศาสตร์ที่มีตั้งแต่การพิสูจน์ความจริง หักล้างความเข้าใจที่เคยมี การแฮ็กข้อมูล หรือยกระดับความสามารถมนุษย์ จนถึงการเป็นผู้สร้างเสียเอง 

หัวข้อเหล่านี้มักจะอยู่ในบทสนทนาเวลาเจอคนที่สนใจอะไรเหมือนกัน แม้มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องขบคิดอย่างจริงจังเกินไป เพราะสุดท้ายเราต่างต้องใช้ชีวิตไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย (ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่) แต่การไปเสิร์ชหาข้อมูลหรือชวนคนอื่นพูดคุย ถือเป็นกิจกรรมที่น่าสนุกและทำให้ตาลุกวาวเสมอ นั่นคือสาเหตุที่อยากพูดถึงหนังไซไฟเรื่องโปรดในดวงใจจนต้องแนะนำบอกต่อ 

Prometheus (2012) กับ Alien: Covenant (2017) คือหนังสองเรื่องที่คิดออกเป็นชื่อแรกๆ ในฐานะหนังที่กระตุ้นความคิดได้เป็นอย่างดีครับ

ด้วยความที่เพิ่งได้มีโอกาสดูหนังทั้งสองเรื่องอีกรอบ (รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้) เลยอยากจะนำหนังทั้งสองเรื่องมาพูดถึงและตั้งคำถามต่อประเด็นอภิปรัชญาว่าด้วยการสรรค์สร้างและวิวัฒนาการ กับผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง โดยจะไล่ตั้งแต่ ‘ผู้สร้างพระเจ้า’, ‘พระเจ้า’ ในฐานะผู้ถูกมอบหมาย, ‘มนุษย์’ ในฐานะผลผลิตของพระเจ้า, ‘แอนดรอยด์’ ในฐานะผลผลิตของเรา และผลผลิตของแอนดรอยด์ทั้งภายในของเขตจักรวาลหนังทั้งสองเรื่องไปจนถึงทฤษฎีส่วนตัวที่อยากนำเสนอหลังจากได้ดูสองเรื่องนี้จบ

[บทความเปิดเผยเนื้อหาสำคัญหนัง Prometheus และ Alien: Covenant]

 

ก่อนอื่นต้องเท้าความก่อนว่า Prometheus กับ Covenant เป็นหนังสองเรื่องที่มีคุณค่าและความน่าสนใจซ่อนอยู่เยอะกว่าที่เห็นมากๆ ครับ จากที่ไปหาอ่านบทวิจารณ์หนัง ดูสารคดี ฟังเบื้องหลังแนวคิดของผู้สร้างภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องในแผ่น Blue-Ray ด้วยความหมกมุ่นส่วนตัว (ไม่ว่าจะเป็นบทหนังฉบับดั้งเดิมหลายเวอร์ชั่นก่อนที่จะมาเป็นเวอร์ชั่นนี้ รวมถึงตัวหนังที่ตัดบางฉากออกไป) 

นั่นก็เพราะในตอนแรก Prometheus เกิดมาจากความสงสัยของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) เกี่ยวกับ ‘Space Jockey’ หรือมนุษย์ต่างดาวร่างยักษ์ในหนัง Alien (1979) ที่ภายหลังถูกเรียกว่า ‘Engineer’ ในภาค prequel ว่าสิ่งมีชีวิตนี้คืออะไร และมีที่มาจากไหน บวกกับสังเกตเห็นว่าสถาปัตยกรรมบางอย่างชวนให้รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก นั่นก็เพราะ ริดลีย์ สก็อตต์ ตั้งคำถามด้วยเช่นกันว่าใครเป็นคนสร้าง Alien หรือ Xenomorph ที่ไม่ได้มีสติปัญญาล้ำเลิศอะไร นอกจากความกระหายในการฆ่า ทำให้การเป็นพื้นที่ที่น่าสำรวจค้นหามากๆ และสามารถขยาย lore ของจักรวาล Alien ให้กว้างไกลได้อีกของตัว Engineer จึงกลายมาเป็นหนัง Prometheus ที่จะพามนุษย์ไปพบกับผู้สร้าง 

พูดง่ายๆ ว่า แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะให้เป็นหนังปรัชญาเต็มตัวที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Engineer แบบเฉพาะกิจ พร้อมกับตั้งคำถามไปด้วยว่า “เขาสร้างพวกเราทำไม แล้วถ้าพวกเขาสร้างเรามา แล้วใครสร้างพวกเขาขึ้นมา?”

แต่ความน่าเสียดายอยู่ตรงที่ทางค่ายต้องการให้เป็นหนังเอเลี่ยนเพราะโกยเงินได้ เนื้อหาของ Engineer จึงถูกตัดทอนไปหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นตัวบทจนถึงกระบวนการตัดต่อ เพื่อไม่ให้เป็นการชี้นำคนดูจนเกินไปและปรัชญาเสียจนดูไม่รู้เรื่อง ทำให้ลดบรรยากาศตื่นเต้นระทึกขวัญของหนัง โดยหารู้ไม่ว่าถึงแม้ค่ายจะคาดหวังให้หนังทำหน้าที่เป็นภาค prequel ของเอเลี่ยน และพยายามไม่ให้เป็นมากกว่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนสนใจ Prometheus คือเรื่องราวเกี่ยวกับ Engineer นี่แหละ ด้วยการตั้งทฤษฎีน่าสนใจเกี่ยวกับอภิปรัชญาและความเป็นจริงอย่างที่ภาพยนตร์น้อยเรื่องเคยทำมาก่อน มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นครับ คือเป็นหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ที่บางคนว่าธรรมดา แต่บางคนตื่นเต้นจนดูแล้วดูอีก (เช่นผมคนหนึ่งล่ะ)

 

 

เริ่มที่ Prometheus ชื่อนี้มาจากตำนานปรัมปรากรีกว่าด้วยเรื่องของ ‘ไททัน’ ชื่อเดียวกันนี้ที่ท้าทายเทพเจ้าด้วยการนำไฟลงมาให้มนุษย์ ณ โลกเบื้องล่าง ก่อให้เกิดเป็นองค์ความรู้ การปรุงสุกอาหาร สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และอารยธรรมอีกมากมาย พูดง่ายๆ คือ ไฟเป็นแหล่งกำเนิดของปัญญากับการใช้ชีวิต ที่สามารถต่อยอดพลิกแพลงได้หลายอย่าง ซึ่ง ริดลีย์ สก็อตต์ กับคนเขียนบทก็ได้หยิบมันมาใช้ตั้งเป็นชื่อยานอวกาศ ในทำนองว่ายานนี้จะเป็นตัวเบิกทางไปสู่ยุคใหม่ของมนุษยชาติ ยุคที่มนุษย์จะล่วงรู้มากกว่าขอบเขตที่ตนเคยรู้หรือคิดว่าจะได้รู้

 ก่อนที่จะใช้ชื่อนี้ หนังใช้ชื่อดั้งเดิมตอนเขียนบทว่า ‘Alien: Engineer’ ก่อนจะมาเปลี่ยนในภายหลังเป็น ‘Prometheus’ โดยเปิดฉากที่ Engineer ตนหนึ่งดื่มสารเหลวสีดำ ก่อนที่ร่างจะสลายลงในน้ำ แล้วไปผนวกกับสภาพแวดล้อมของดาวจนเกิดขึ้นมาเป็นเกลียวดีเอ็นเอ และกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตในภายหลัง 

หนังต้องการจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์อย่างเราเกิดมาจาก Engineer แต่ไม่ใช่ Engineer ตนเดียวอย่างที่เราเห็น เพราะนั่นเป็นการจงใจตัดต่อให้เราไม่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปยัง Engineer มากไป แต่ในฉากที่ถูกตัดออกไป (deleted scene) ของหนังเรื่องนี้จะมี Engineer ตนอื่นๆ ใส่ผ้าคลุมยืนอยู่ด้วย แสดงถึงการที่เรื่องนี้เป็นเรื่องซีเรียส และการกระทำนี้มีวัตถุประสงค์บางอย่าง ซึ่งจะเป็นอะไรที่เปลี่ยนความรับรู้และความเข้าใจของเราไปโดยปริยาย 

เพราะหากเป็น Engineer ตนเดียว ที่เป็นการทดลองหรือการกระทำที่ค่อนข้างคลุมเครือ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าพวกเขาต้องการอะไรกันแน่? แน่นอนว่านั่นจะทำให้คนสนใจเรื่องนี้มากกว่าสนใจอารมณ์ตื่นเต้นสยองขวัญของหนังไปเลย

 

 

ในสารคดีหนัง Prometheus และบันทึกของตัวละครนางเอก เอลิซาเบธ ชอว์ (Elizabeth Shaw) ที่ใช้ประกอบหนัง รวมไปถึงคอมเมนต์เกี่ยวกับหนังโดยผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ระบุว่า Engineer ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปบนฝาผนังของอียิปต์และอารยธรรมโบราณที่เก่าแก่ไม่แพ้กันอย่างสุเมเรียนและบาบิโลเนียน ที่มักจะวาดให้มนุษย์มีความสูงประมาณหนึ่ง และเทพเจ้าสูงกว่าราว 2-3 เท่าในระดับที่ต้องเงยหน้ามอง ดังที่เราเห็นสัดส่วนของมนุษย์กับ Engineer ซึ่งในหนังเรื่องนี้ การที่ Engineer ดื่มสารสีดำเองก็สะท้อนถึงตำนานของเทพสุเมเรียนกลุ่มที่มีชื่อว่า Anunnaki ที่เสียสละเลือดและดีเอ็นเอตัวเองเพื่อสร้างมนุษย์ขึ้นมาเช่นกัน คำนี้ความหมายว่า ‘เหล่าผู้เดินทางจากสรวงสวรรค์มายังโลกมนุษย์’

Engineer ดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพกลุ่มนี้มาแบบเต็มๆ นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือดาวที่พวกเขาจากมาเป็นสิ่งที่เราเชื่อมโยงกับคำว่า ‘สวรรค์’ ที่มักจะเป็นที่อยู่ของพระเจ้าหรือผู้สร้างที่ดูแลเราตามความเชื่อต่างๆ เพราะในตำนานของสุเมเรียนระบุว่า ดาว Nibiru คือดาวบ้านเกิดของ Anunnaki ที่อยู่ห่างจากวงโคจรของโลกไปไกลยิ่งกว่าดาวพลูโตเสียอีก นั่นก็คือดาวที่พวก Engineer จากมา 

สำหรับ Nibiru นั้นจะมีชื่อเรียกนอกจากนี้อีกคือ Planet X, Heavens และ Paradise ซึ่งเป็นที่ที่ ‘เดวิด’ ตัวเอกของหนังจะเดินทางไปในหนัง Prometheus 2 ที่จะใช้ชื่อว่า ‘Alien: Paradise Lost’ ก่อนที่หนังจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Alien: Covenant หรืออิงตามคำบอกเล่าของ ริดลีย์ สก็อตต์ และการคาดเดาของหลายๆ คน นั่นคือดาว Lv-426 ในหนัง Alien ภาคแรก

ฉะนั้นความหมายของ สวรรค์ (paradise) ที่เราวาดไว้ หากมองตามหนังเรื่องนี้ มันไม่ใช่สวรรค์ที่อยู่เบื้องบนแบบตำนานเทพเจ้ากรีก ไวกิ้ง หรือที่พำนักของเทวดาและเทพตามความเชื่อของไทยและพราหมณ์-ฮินดู แต่เป็นสวรรค์ในแง่ของ ‘ถิ่นกำเนิดผู้สร้าง’ 

แต่ที่เราเคยเชื่อเช่นนั้นก็เพราะขอบเขตความรู้ของเราในสมัยนั้นเรายังคิดว่ามีเพียงแค่โลกใบนี้เพียงใบเดียว แต่เมื่อวิทยาการก้าวหน้า ความรู้ถูกส่งต่อจนเราตระหนักว่าโลกนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่เท่านั้น เหนือเมฆก็คือชั้นบรรยากาศ พ้นไปกว่านั้นคือออกนอกโลกไปยังอวกาศ ดวงดาว กาแล็กซี ฯลฯ ภายใต้ผืนผ้าใบสีดำอันกว้างใหญ่ที่เรียกว่า ‘จักรวาล’ 

ดังนั้นจักรวาลคือขอบเขตของความคิดและการออกสำรวจเพื่อค้นหาความจริงที่แท้ แต่จะพบหรือไม่นั้นไม่มีอะไรที่จะทำให้แน่ใจได้เลย เพราะจักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และความเป็นจริงเกี่ยวกับการถือกำเนิดของเราอาจซ่อนอยู่ได้ทั้งในปัจจุบันและอดีต ยังไม่นับว่าหากทฤษฎีจักรวาลคู่ขนานเป็นจริง และความเป็นจริงหลายอย่างเปลี่ยนไปจากเดิมอีกนะครับ เพราะขอบเขตความเป็นไปได้ที่ขยายกว้างออกไปมันจะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้รู้อะไรเลย

 

 

ความน่าสนใจอยู่ที่ในหนัง Prometheus จะมีฉากที่บ่งบอกว่ามนุษย์มีดีเอ็นเอตรงกับ Engineer ทุกประการ นั่นหมายความว่าเราถือกำเนิดมาจากพวกเขา แต่ถึงแม้ดาวดวงนั้นในตอนต้นเรื่อง สภาพแวดล้อมต่างๆ รวมไปถึงการเกิดเป็นเกลียวของดีเอ็นเอในน้ำจะทำให้เรานึกถึงดาวโลกกับการถือกำเนิดของมนุษย์จากเลือดเนื้อของ Engineer ผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ก็บอกว่าดาวดวงนั้นเป็นการจงใจไม่ระบุแน่ชัด เพื่อต้องการจะบอกว่ามันสามารถเป็นดาวดวงไหนก็ได้ เท่าที่ฟังดู โลกก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น (ไม่อย่างนั้นดีเอ็นเอคงไม่ตรงกัน) และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วคงต้องพูดถึงทฤษฎีการกำเนิดมนุษย์แบบรวบรัด และถ้าคัดอันที่น่าสนใจมาแบบเน้นๆ เลยจะมีอยู่ 2 ทฤษฎีด้วยกัน

ทฤษฎีแรก เมื่อโลกมีการปรับสภาพด้วยตัวมันเองจนเหมาะแก่การอยู่อาศัย มนุษย์เราฟอร์มตัวขึ้นมาจากธาตุและสารประกอบทางเคมีต่างๆ เกิดเป็นโปรตีน ดีเอ็นเอ และอาร์เอ็นเอ พูดง่ายๆ ว่า ผู้ให้กำเนิดของเราก็คือโลกนั่นแหละ ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของวิวัฒนาการตามยุคต่างๆ (จนเราเดินทางมาไกลพอที่จะสร้างเรื่องราวต่างๆ และเคลมว่าเราเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับเอกภพและการกำเนิด) ทฤษฎีนี้มีความเป็นไปได้ที่สุดเพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองการเกิดของเซลล์ และมันเกิดขึ้นมาเป็นโปรตีนได้จริงๆ

ส่วนทฤษฎีที่สองนั้นคือมนุษย์เราเกิดมาจากนอกโลก เพราะมีการค้นพบว่าอุกกาบาตมีส่วนประกอบของโปรตีนอยู่ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงเช่นกันที่เราเรียกมนุษย์ตัวผิวเทาๆ ตาโตๆ กับสัตว์ประหลาดสีดำกะโหลกยาวๆ ในหนัง Alien ว่า ‘เอเลี่ยน’ หรือ ‘E.T.’ (Extraterrestrial) นั้น อาจเป็นเรานั่นแหละที่เป็นมนุษย์ต่างดาวเสียเอง (ทำให้มันดาร์คยิ่งขึ้นไปอีกตรงที่เรากำลังเบียดเบียนสัตว์อื่นๆ และทำลายโลกอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา และกลายเป็นเรานั่นแหละที่กระทำการบุกยึดโลก (world invasion)

พอกลับมามองที่ Prometheus หนังเรื่องนี้ให้ทฤษฎีอย่างน่าสนใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของ Engineer ที่มาจากดาวดวงอื่น Engineer ดื่มสารสีดำแล้วสลายตัว ผสมกับดาวที่ปรับสภาพแล้วเพื่อกำเนิดและวิวัฒนาการ มีชีวิตอยู่ได้ภายใต้ดาวแต่ละดวงด้วยเงื่อนไขร่างกายที่ไม่เหมือนกัน และเมื่ออิงกับคำพูดของ ริดลีย์ สก็อตต์ เรื่องที่ดาวตอนต้นเรื่องไม่จำเป็นต้องเป็นโลก นั่นเท่ากับว่า Engineer ไม่ได้แค่สร้างสิ่งมีชีวิตจากตัวเองแค่ดาวเรา แต่เสียสละหนึ่งในพวกพ้องตัวเองเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง บางทีจุดประสงค์นั้นอาจจะเป็นการสร้างทาสเพื่อรับใช้ตามตำนานสุเมเรียน? หรือบางทีอาจจะแค่สร้างขึ้นมาเพราะว่าพวกเขา ‘ทำได้’ และรอดูการเติบโตของพวกเราในแบบที่พอใจจะให้อยู่ก็ปล่อยให้อยู่ไป 

 

 

เมื่อรู้แบบนั้นแล้ว คำถามต่อไปคือ การที่ Engineer สร้างเราขึ้นมา พวกเขาต้องการอะไรจากเรา? คำตอบนี้คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผมหลงใหลหนัง Prometheus มากๆ ครับ เพราะมันเป็นหนังที่ต่อให้เป็นบันเทิงคดีรูปแบบหนึ่ง หรือเป็นเรื่องแต่ง มันก็มีการไปล้อกับเรื่องเล่าหรือสิ่งที่มีอยู่บนโลกได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเหตุผลที่ ริดลีย์ สก็อตต์ มีให้ กับเมื่ออิงจากฉากที่ถูกลบออกไปที่ เดวิด, ปีเตอร์ เวย์แลนด์ (Peter Wayland) และ เอลิซาเบธ ชอว์ เจอกับ Engineer คนสุดท้าย ผสมกับบทดั้งเดิมที่หลุดมาแล้ว คำตอบคือ Engineer เกลียดมนุษย์ และมนุษย์เหมือน Engineer มากเกินไปครับ

และรู้อะไรไหมครับ ในซีนที่ว่านี้ Engineer พูดกับมนุษย์ด้วย!! (ก่อนที่มันจะถูกตัดออกอย่างน่าเสียดาย)

ในฉากที่ถูกลบดังกล่าว กับบทหลุดไปเผยบทสนทนาชวน mind blow สรุปได้ว่า

  1. Engineer มีอายุเป็นพันๆ ปี (บทร่างก่อนหน้านั้นบอกว่าอาจเป็นแสนปี และมีดวงตาสีดำล้วนก็จริง แต่ไม่สามารถมองเห็นอะไรๆ ได้เหมือนเรา เช่นในยานที่เราเห็นเป็นแบบในหนัง Prometheus พวกเขาเห็นเป็นแสงในมิติที่สูงกว่า) ตัวสูงและแข็งแรงก็จริง แต่ก็มีข้อเสียคือไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งเดาว่านั่นเป็นสาเหตุที่ Engineer ต้องการสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นมาครับ ก่อนพวกเขาสิ้นอารยธรรม หรือคิดต่อยอดเล่นๆ ว่าบางที Engineer เองก็อยากจะเป็นอมตะเหมือนกัน
  1. มีการทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตที่เพอร์เฟ็คต์โดย Engineer และมนุษย์บนดาวโลกเป็นเพียงสายพันธุ์เดียวที่ใกล้เคียงกับคำนั้น
  1. แรกเริ่มเดิมที Engineer สร้างพวกเรามา แล้วคอยนำทางพวกเรา สอนวิธีใช้ไฟ วิธีสร้างสวรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดเป็นอารยธรรม แต่มนุษย์ดูเหมือนจะวิวัฒนาการมาไกล และยโสโอหังเกินไปมากๆ แถมยังรบราฆ่าฟันกันเอง ประดิษฐ์อาวุธ ล่าอาณานิคม เบียดเบียนสัตว์อื่นๆ ทำโลกร้อน และอีกมากมาย
  1. พวกเขามาจากดาว Paradise ซึ่งก็คือดาว Nibiru ตามตำนานสุเมเรียนที่ได้กล่าวไป หรือมีโอกาสสูงที่จะเป็น Lv-426 ในหนัง Alien ภาคแรก (เหตุผลจะบอกในช่วงหลังของบทความนี้) ส่วนโลกเราถูกเรียกว่า ‘Eden’

 

 

  1. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Engineer ไม่ปลื้ม เมื่อ ปีเตอร์ เวย์แลนด์ ตัวละครที่เป็นคนออกทุนการเดินทางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อมาพบผู้สร้างและต้องการเป็นอมตะ ทั้งยังโชว์ว่าเขาเองก็สร้างสิ่งมีชีวิตอื่นได้ นั่นก็คือแอนดรอยด์อย่างเดวิด และถามคำถามว่า Engineer สร้างเขามาทำไม มีวัตถุประสงค์อะไร แต่พอ เอลิซาเบธ ชอว์ ถามบ้าง เธอกลับโดนทำร้าย เมื่อ Engineer เห็นความโหดร้ายตรงนี้บวกกับไม่พอใจที่ถามเซ้าซี้และมาปลุกให้เขาตื่น สถานการณ์จึงเป็นอย่างที่เห็นในหนัง
  1. ส่วนแผนภาพที่ถ้ำ แท้จริงแล้วไม่ใช่คำเชื้อเชิญ โดยส่วนตัวผมตีความว่ามันคือบททดสอบว่าเมื่อไหร่มนุษย์จะเติบโตเกินไปจนไม่สามารถหยุดยั้งได้ และควรถูกทำลายจริงจังมากกว่า
  1. ที่พีคที่สุด อันนี้แตกเป็นสองทางนะครับ ตามบทดั้งเดิม กับตามที่ ริดลีย์ สก็อตต์บอก ทางแรกคือจริงๆ แล้วพอ Engineer เห็นว่ามนุษย์ปล่อยไว้ไม่ได้ ทำดาวพังและสัตว์สูญพันธุ์แน่ๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วจึงตั้งใจมาเอาอาวุธที่คลังบนดาว Lv-223 (ดาวในหนัง Prometheus) เพื่อสังหารมนุษย์จนหมดสิ้น แต่เกิดเหตุการณ์ผิดพลาดเลยยังคงอยู่ที่นี่ หลังจากให้โอกาสมนุษย์แล้ว ด้วยการส่ง Engineer ตนหนึ่งไปชี้นำทาง สั่งสอน แต่พวกเขากลับถูกแขวนกางเขน ซึ่งเท่ากับว่า Engineer = พระเยซู!! (ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดครับ)ทางที่สองคือตามบทเดิม Engineer ได้พาเยซู (มนุษย์) ตอนเพิ่งเกิดใหม่ๆ มาเทรนงานกับ Engineer ถึงดาว เพื่อให้ไปชี้นำมนุษย์ และสอนวิธีการใช้ชีวิตแบบสันติและยืนยาว แต่ก็พบชะตากรรมแบบเดียวกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ Engineer คิดว่ามนุษย์คงหมดทางเยียวยาแล้ว ต้องกำจัดอย่างจริงจัง (มีทฤษฎีบนอินเทอร์เน็ตที่ว่าเป็นพระเยซูเองที่มาหยุด Engineer ไม่ให้ทำลายโลก ด้วยการใช้ Black Goo (สารสีดำที่ค้นพบในยาน Engineer และถูกเรียกว่า สารเคมี A0-3959X.91 – 15) ล้างบาง Engineer กลุ่มนั้น นั่นคือการไถ่บาปให้มนุษย์และเป็นผู้ช่วยเหลือ savior ตามเรื่องเล่าศาสนาคริสต์อย่างแท้จริง
  1. ตามบทดั้งเดิมกับฉากที่ถูกตัดออกไป Engineer ยังอยู่ที่นี่ก็เพราะอาวุธชีวภาพที่จะไปถล่มมนุษย์รั่วไหล ทำให้ทุกคนตาย ส่วน Engineer คนที่รอดเพราะมานอนจำศีลแบบ hyper sleep ทันเวลา แต่ท้ายที่สุดเขาก็ถูกตัวอะไรสักอย่างที่ลงท้ายด้วยชื่อ -morph (ไม่ได้ระบุชื่อ) เลาะหน้าออกมา แต่เนื่องจากบทถูกเปลี่ยนภายหลังเป็น Engineer จะต้องถูก ‘Trilobite’ หรือปลาหมึกที่ออกมาจากท้อง เอลิซาเบธ ชอว์ ขยุ้มหน้าแล้วฝังไข่อยู่แล้ว มันจึงไม่เมคเซนส์ ตรงนี้จึงถูกตัดออกไปครับ

 

ทั้งหมดใน Prometheus ทั้งการมีอยู่ของหนังเวอร์ชั่นที่เราได้ดูกัน กับที่ถูกตัดออกคือความตั้งใจของ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ต้องการจะพูดหลักๆ สองประเด็นคือ 1. ที่มาของมนุษย์ในจักรวาลหนังของเขาที่เกี่ยวข้องกับนักบินบนยานในหนัง Alien 2. การที่ทำให้มนุษย์ในจักรวาลหนังของเขาได้มาพบผู้สร้าง และต่างคนต่างก็ค้นพบว่าไม่ได้เหมือนภาพที่วาดไว้ 

Engineer คาดหวังให้มนุษย์ดีกว่านี้ ในขณะเดียวกันมนุษย์บางคนเองก็มีทฤษฎี ภาพวาดในหัว และความคาดหวังมาตลอดว่าผู้สร้างเราจะต้องสมบูรณ์แบบ สูงส่งและยิ่งใหญ่ และยกให้ผู้ที่สร้างเราเป็นพระเจ้าที่ออกไปทางขาวสะอาดบริสุทธิ์ พูดอะไรก็จะถูกทุกอย่าง จนกระทั่งไปเจอเข้าว่าพวกเขาเองก็เป็นแค่กลุ่มเอเลี่ยนที่มีโทสะ เจ้าอารมณ์ และเราก็ไม่ต่างจากพวกเขานักในทางพันธุกรรม ซ้ำร้าย Engineer ยังมุ่งหมายที่จะล้างบางเราอีกด้วย มันจึงเป็นสาเหตุให้ เอลิซาเบธ ชอว์ ตัดสินใจเดินทางไปยัง LV.426 เพื่อตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ เพราะการเดินทางครั้งนี้เป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะเข้าใกล้คำตอบของการมีชีวิตอยู่

ทำให้กลับมาคิดเช่นกันว่าในส่วนของการวาดภาพเกี่ยวกับผู้สร้างนั้น ไม่ว่าจะมีนามว่าอะไรย่อมมีผลต่อรีแอ็คชั่นเมื่อได้เจอกับพระเจ้าจริงๆ ครับ (ถ้าได้เจอนะ) เพราะหากเป็นคนที่บูชาและใช้พระเจ้าในการนำทางชีวิต พวกเขาอาจจะกราบ หรือถามถึงจุดหมายต่อไป ในขณะที่คนที่ไม่นับถือศาสนา (Atheist) ไม่ใช่แค่ปฏิเสธการมีอยู่และไม่ได้เทิดทูน แต่หากเจอแล้วคงถามเหมือนที่ถามผู้ให้กำเนิดตอนรู้สึกน้อยใจในชีวิตที่ไม่ราบรื่นว่าจะสร้างเรามาทำไม? ด้วยการทำใจไว้ล่างหน้าว่าคำตอบที่ได้จะไม่ใช่คำตอบที่น่าพึงพอใจ ซ้ำร้ายมันอาจทำให้เข้าสู่สภาวะวิกฤตของการมีตัวตนอยู่ได้ (Existential Crisis) ได้เลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่พูดไปตอนต้นครับ

 

 

พอพูดเรื่องของ Engineer กับ Deacon แล้ว (และก่อนที่จะกลับมาเรื่องของทั้งสองอีกรอบ) จึงมาสู่ลำดับต่อไปคือ ‘มนุษย์’ แต่ทั้งหมดที่อยากพูดถึงมนุษย์คือแนะนำให้อ่านหนังสือชุด Sapiens ของ ศาสตราจารย์ยูวัล โนอาห์ แฮรารี (Yuval Noah Harari) จนไปบรรจบที่ Homodeus ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความพยายามของมนุษย์กับความทะเยอทะยานของเผ่าพันธุ์เราในการอยู่สูงสุดของห่วงโซ่และเอาชนะธรรมชาติครับ จะเข้าใจเนเจอร์ของตัวละครเวย์แลนด์ ในเรื่องนี้ แล้วขอข้ามไปพูดถึงลำดับถัดไปที่น่าสนใจกว่าอย่างสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ ‘จักรกล’ แทน

หากเป็นไปตามทฤษฎีเกี่ยวกับการกำเนิดที่ได้กล่าวไป มนุษย์เราและสัตว์อื่นๆ ในฐานะสิ่งมีชีวิต เกิดและวิวัฒนาการมาจาก/ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ซึ่งมีลักษณะคือการเป็นชีวภาพ (biological) ในขณะที่สิ่งมีชีวิตจักรกลที่มีความเป็นกลไก (mechanical) นั้นเกิดมาจากส่วนประกอบของเหล็ก และสารประกอบสังเคราะห์เป็นหลัก โดยมีจุดตรงข้ามกับมนุษย์คือ เราเกิดและวิวัฒน์จากธรรมชาติเพื่ออยู่รอดและอาจมีเป้าหมายชัดเจนหรือไม่ก็ได้ ในขณะที่สิ่งมีชีวิตจักรกลถูกสร้างและออกแบบมาด้วยการโปรแกรมเพื่อมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ความน่าสนใจจึงอยู่ที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเราให้สติปัญญาและความสามารถในการคิดอ่านกับเครื่องจักรเหล่านั้นมาเกิดไปจนถึงขั้นปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เราจะนับหุ่นยนต์เป็นประชากรได้หรือไม่ นับว่าพวกมันมีชีวิตหรือไม่ และหุ่นยนต์จะทำอะไรหากเลือกที่จะทำ/ไม่ทำตามที่มนุษย์สั่งได้

นั่นจึงเป็นที่มาของแอนดรอยด์ในแฟรนไชส์ Alien และ Prometheus ครับ ในหนังสองเรื่องนี้อาจดูเหมือนว่า Alien จะเป็นวายร้ายหลัก ขณะที่ Engineer จะเป็นสิ่งมีชีวิตพูดน้อยต่อยหนัก (มาก) แต่อันที่จริงแล้วภัยร้ายสำหรับมนุษยชาติคือจักรกลและเทคโนโลยีมาตลอด ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าและเทคโลยีการผลิตที่เหมือนอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์มากขึ้น แต่พอทุกอย่างก้าวหน้ากลับทำลายโลกและทำให้เกิดผลเสียกับโลกเราในเวลาอันรวดเร็ว ไปจนถึงแอนดรอยด์ในแฟรนไชส์นี้ ที่เป็นภัยคุกคามมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเป็นเสน่ห์ของแฟรนไชส์ก็ว่าได้ เพราะนอกจากเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่มีทางคาดเดาได้ ยังต้องระแวงการถูกแทงข้างหลังจากสิ่งมีชีวิตที่เราคิดว่าเราคาดเดาได้ด้วย (จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่านั้นอีก และในมุมมองของ Engineer เราคงเป็นเหมือนที่แอนดรอยด์เป็นกับเรา)

 

 

สำหรับ Prometheus และ Alien: Covenant จักรกลตนนั้นคือเดวิด ที่รับบทโดย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ (Michael Fassbender) ครับ ตัวละครเดวิดได้รับความสามารถจนมีความคิดความอ่านมากเกินไป ใฝ่รู้ และตั้งคำถามมากเกินไป จนคำถามกลายมาเป็นวัตถุประสงค์ในการมีอยู่และดำเนินชีวิตต่อ เป็นวัตถุประสงค์หลัก (core purpose) มากกว่าการรับใช้ตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเสียแล้ว ซึ่งคำถามนั้นผนวกเข้ากับความเป็นมนุษย์ที่มากเกินไป จึงนำมาสู่การทรยศของเดวิดที่ต้องการจะพลิกบทบาทจากผู้ถูกสร้างกลายมาเป็นผู้สร้างบ้าง หากแต่ความน่ากลัวคือเป็นการทรยศที่เจ้าตัวไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าทรยศ ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุให้เดวิดเป็นวายร้ายหลักที่แท้จริงของเรื่องราวนี้

ตั้งแต่การถือกำเนิดขึ้นของเดวิดใน Alien: Covenant ฉากแรก เดวิดถูกตั้งชื่อตามรูปปั้นเดวิด (David) ของ มิเคลันเจโล (Michelangelo) เหมือนเป็นการบอกเป็นนัยว่ามนุษย์ปั้นเขามา และมองรูปร่าง ชื่อ กับไอเดียเกี่ยวกับตัวเขาให้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า เดวิดได้ทำให้เวย์แลนด์ไม่พอใจด้วยการพูดความจริงอันอวดเบ่งไม่น้อยว่าแท้จริงแล้วแอนดรอยด์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ปรารถนาจะเป็นมาตลอด ไม่แก่ ไม่ตาย จนทำให้เวย์แลนด์ไม่พอใจ เกิดเป็นฉากเรียกมารินน้ำชา เพื่อที่จะแสดงอำนาจว่าใครกันแน่ที่ใหญ่สุดในที่แห่งนี้ 

 

 

ต่อมามีอีกฉากที่เดวิดถามพระเอก ดร.ฮอลโลเวย์ สามีของ เอลิซาเบธ ชอว์ ว่า “คุณสร้างผมมาทำไม?” แล้วได้รับคำตอบว่า “เพราะพวกเราทำได้ล่ะมั้ง” นั่นทำให้เขามีสีหน้าที่ไม่พอใจพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ลองจินตนาการดูสิว่าจะรู้สึกยังไงเมื่อคุณได้เจอผู้สร้างของคุณแล้วเขาตอบกลับแบบนี้” นี่เป็นประโยคที่ผมชอบมากๆ ชอบหนังเรื่องนี้ครับ และเป็นประโยคที่ทำให้ตัวละครเดวิดเกิดความคิดจะทดลองกับ ดร.ฮอลโลเวย์ หรือกระทำการจาบจ้วงผู้สร้างตัวเองไปพร้อมๆ กับทดลองเป็นผู้สร้างในเวลาเดียวกันด้วยการใส่ Black Goo ลงไปในเครื่องดื่ม เพราะหลังจากนั้นเส้นบางๆ ที่คั่นอยู่ระหว่างความเป็นผู้รับใช้กับการมีตัวตนและความคิดของตัวเองอย่างสมบูรณ์ คือการขออนุญาต ดร.ฮอลโลเวย์ด้วยคำถามที่ว่า “คุณจะยอมทำแค่ไหนเพื่อที่จะได้เข้าใกล้คำตอบที่คุณต้องการ?” 

พอได้คำตอบว่า “everything (ยอมทำทุกอย่าง)” เท่านั้น มันเหมือนไฟเขียวและการทำลายเส้นนั้นลงอย่างถาวร เพราะหลังจากนั้นเดวิดที่เหมือนถูกปลดล็อกแล้วไม่ได้ทำเพื่อมนุษย์โดยสมบูรณ์อีกเลย ถ้าเขาจะทำตามคือมีวัตถุประสงค์แอบแฝง แม้กระทั่งปิดบังเนื้อหา พูดโกหก และถามคำถามกับ Engineer แบบไม่ตรงกับที่เวย์แลนด์ฝากถามในฉากที่ถูกตัดออกไปของ Prometheus ด้วยซ้ำ ยิ่งพอผู้สร้างตาย กรงขังก็เหมือนถูกทำลาย ตอนนี้เดวิดไม่ใช่แค่นกหุ่นยนต์ที่เป็นอิสระ แต่ได้กลายเป็นเครื่องบินเจ็ทที่พร้อมทะลุทลายกำแพงเสียงทุกเมื่อเมื่อเห็นควร

 

 

ฉะนั้นหากให้พูดถึงประเด็นเนื้อหาที่ผมชอบมากของ Alien: Covenant กลับไม่ใช่ฉากเอเลี่ยนไล่ฆ่าคน (ถึงแม้ยอมรับว่ามันบันเทิงและโหดได้ใจก็ตาม) แต่เป็นฉากที่เกี่ยวข้องกับเดวิด เพราะอันที่จริงแล้วเดวิดคือแอนดรอยด์ที่ดูคุกคามที่สุดในจักรวาลหนัง Alien ก็ว่าได้ และจริงๆ หนังควรใช้ชื่อว่า David: Covenant มากกว่า

 

หนังทำให้เราได้เห็นมุมผู้สร้างของเดวิดไม่ว่าจะเป็นการสร้างไข่ที่ด้านในมี Face Hugger หรือตัวขยุ้มหน้า ล่อลวงมนุษย์ไปให้ถูกขยุ้มหน้า และสร้างสิ่งมีชีวิตสกุล -morph ต่างๆ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นสิ่งที่ต้องพูดถึงและความน่าสนใจที่สุดของเดวิดคือความรักที่เขามีต่อ เอลิซาเบธ ชอว์ ที่พูดออกมาตรงๆ ในฉากเยี่ยมหลุมศพ แต่ดันชำแหละเธอเพื่อจุดประสงค์ทางวิชาการ (พูดแบบนี้ดูดีขึ้นมาเลย) ซึ่งก็ได้มีอธิบายไว้รางๆ ในคลิป Prelude ของหนังไว้แล้วครับ ว่าเดวิดนั้นประทับใจในตัว เอลิซาเบธ ชอว์ ที่เธอเป็นคนที่มีจิตใจดีและช่วยต่อหัวที่ขาดเข้ากับร่างของเขา จึงเป็นไปได้ 3 ทางคือ

 

  1. เขารักชื่นชมเธอและมันเป็นความรักที่ไม่เกี่ยวกับการครอบครอง และตราบใดที่เดวิดจำเธอได้ หรือเขาใช้องค์ความรู้จากการศึกษาร่างกายเธอ (A.K.A. มนุษย์คนเดียวที่หลงเหลือให้ทดลอง) ในการสร้างสิ่งมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันก็คงเหมือนเอลิซาเบธอยู่กับเขาตลอดเวลา ทั้งในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ในฐานะมารดาของเอเลี่ยนหลากสายพันธุ์ และในฐานะผู้เป็นอมตะ 
  1. ในคลิปนี้ยังบอกอีกด้วยว่าในช่วงที่ เอลิซาเบธ ชอว์ เข้าสู่โหมดไฮเปอร์สลีป เดวิดได้ศึกษาวิถีต่างๆ ของ Engineer ไปพลางๆ ถัดจากนั้นเป็นฉากถล่มสิ่งมีชีวิตคล้าย Engineer (แต่หน้าไม่เหมือนเสียทีเดียว เป็นไปได้ว่าอาจคนละเผ่ากันเพราะในบทระบุว่าคนที่กระชากหัวเดวิดคือ The Last Engineer) ที่ดาว Planet 4 เป็นไปได้ครับว่า หากเดวิดรู้สึกหลงรักเอลิซาเบธและเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งจากบทสนทนาในตอนท้ายของหนัง Prometheus ที่ถูกตัดออกและระหว่างที่อ่านนั่นอ่านนี่ตอนเธอหลับ เดวิดไม่อยากที่จะให้เอลิซาเบธผู้แสนดีรู้คำตอบนั้นที่อาจจะทำเธอเฟลได้ หรือไม่มีใครสมควรได้ตัวเธอไปนอกจากเขา จึงได้แสดงความรักออกมาแบบนั้นกับเธอ
  1. เขาก็เป็นแค่แอนดรอยด์ที่มีความขัดแย้งในตัวเองแต่สามรถตัดสินใจเด็ดขาดได้เท่านั้นเอง พูดง่ายๆ คือ รักก็รัก เอเลี่ยนก็ต้องสร้าง สุดท้ายความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ชนะความรักได้

 

 

ฉากที่ผมชอบที่สุดในหนัง Alien: Covenant คือฉากที่เดวิดสอน วอลเตอร์ให้เป่าขลุ่ย แน่นอนเหตุผลแรกคือเป็นฉากที่ค่อนข้างจะ intense แต่เหตุผลจริงที่ชอบคือการที่ทั้งสองคุยกันเรื่องทำนองและการสร้างบทเพลงซิมโฟนี ที่มีเนื้อในใจความประมาณว่า แอนดรอยด์อย่างพวกเขาถูกสร้างมาให้เล่นไปตามทำนองเพลงที่มีอยู่ แต่ไม่ได้ถูกกำหนดมาให้สร้างบทเพลงเป็นของตัวเอง ในฉากนี้ เดวิดยังพยายามหว่านล้อมให้วอลเตอร์มาเข้าพวก แต่ก็อย่างที่เห็นครับว่าทั้งสองแตกต่างกัน โดยเฉพาะตรงที่วอลเตอร์ที่ถูกโปรแกรมมาให้ภักดีกว่า และซับซ้อนน้อยลง ซึ่งเดวิดก็ได้แซะวอลเตอร์ว่า “หรือเป็นมนุษย์น้อยลง”

อันที่จริงวอลเตอร์แม้จะดูเป็นตัวละครที่มีมิติไม่น้อย แต่เขาเองก็ยากที่จะแยกว่าความรักและภักดีต่อแดเนียลส์ (Daniels) นั้นเป็นของจริงหรือไม่ หรือมันเป็นส่วนหนึ่งในการถูกโปรแกรมไว้เพื่อที่จะได้ปกป้องเธอสุดชีวิตแม้กระทั่งเสียแขนก็ยอม สิ่งนี้ทำให้วอลเตอร์กับเดวิดต่างกัน เพราะเดวิดไม่เอาความรักมาเจือปนเป้าหมายของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้เขาอยู่เหนือแอนดรอยด์ทั่วไปแล้ว รวมไปถึงประสบการณ์และการตระหนักรู้ของเขาเองก็น่าจะนำไปสู่ gap ความแตกต่างระหว่างเขากับหุ่น David 8 (รุ่น 8) ตัวอื่นๆเช่นกัน ในขณะที่วอลเตอร์นั้นเป็น Walter 1 ที่น่าจะไม่ได้ต่างกับเพื่อนร่วมรุ่นมากเท่าไหร่นัก

 

 

อีกเรื่องที่อยากพูดถึงคือสายพานของวิวัฒนาการ ใน Alien: Covenant เราจะเห็นว่าเดวิดไม่ถูกเอเลี่ยนทำร้าย สาเหตุก็เพราะเขาเป็น synthetic หรือหุ่นสังเคราะห์ที่ไม่ได้มีชีพจรหรือองค์ประกอบชีวภาพที่เอเลี่ยนทักจะมุ่งเป้าทำร้าย ทั้งยังสามารถเคลื่อนไหวแล้วเอเลี่ยนขยับตามอีกด้วย 

คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าหากเดวิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่แก่ ไม่ตาย ทั้งยังไม่ถูกทำร้ายโดยผู้ล่าที่จัดการได้กระทั่งพระเจ้าของเขา (มนุษย์) และพระเจ้าของพระเจ้าของเขาอีกที (Engineer) นั่นทำให้เดวิดถือว่าอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่หรือไม่? แล้วตัวเขาเองแม้จะไม่ได้สืบทอดพันธุกรรมโดยตรงมาจากทั้ง Engineer และมนุษย์ (ในขณะที่มนุษย์หรือเป็นญาติกลายๆ ของ Engineer) แต่การได้รับเจตนารมณ์แห่งการมีตัวตนและการเป็นผู้สร้างสรรค์แบบนี้ เราจะสามารถบอกว่าเดวิดเป็นปลายทางวิวัฒนาการของทั้งมนุษย์และ Engineer ได้หรือไม่?

เดวิดได้สร้างเอเลี่ยนเป็นของตัวเองในหนังเรื่องนี้ ซึ่งเอเลี่ยนตัวนั้นถูกเรียกว่า ‘Praetomorph’ ซึ่งยังไม่ใช่เอเลี่ยนที่เรารู้จักในหนัง Alien อยู่ดีครับ เพราะประเภทนั้นจะมีชื่อว่า ‘Xenomorph’ แต่ก็เป็นหลักฐานแล้วว่าเดวิดคือผู้สร้างที่อยู่เหนือผู้มาก่อนเขาทั้งหมด และถึงแม้จะยังไม่ใช่ (แม้หน้าตาจะคล้ายแค่ไหนก็ตาม) ก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันว่า Xenomorph ไม่เกิดจากเขาเองในหนังภาค 3 ของ Prometheus ที่ไม่ได้ถูกสร้างอย่าง Alien: Awakening ก็เป็นไปได้ว่าเขาเป็นเหตุให้ Xenomorph กำเนิดขึ้นมา ซึ่งเรื่องนั้นเราไม่มีทางรู้ได้เลย

 

 

เรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เมื่อพูดถึงประเด็นสายพานวิวัฒนาการ คือเอเลี่ยนตัวสีครามใน end credit ของหนัง Prometheus ที่เกิดจาก Trilobite วางไข่ในตัว Engineer ครับ แน่นอนว่าเราคิดว่ามันเป็นเอเลี่ยนหรือน่าจะชื่ออะไร morphๆ แต่จริงๆ แล้วมันมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘Deacon’ สิ่งมีชีวิตที่ดูเผินๆ เหมือนเอเลี่ยนหรือสกุล -morph สายพันธุ์หนึ่ง แต่จริงๆ มันมีนัยสำคัญมากกว่านั้นครับ เพราะจากบทที่หลุดออกมาและฉากในตัวอย่างที่ถูกตัดออก ทั้งหมดบ่งชี้ว่าแท้จริงแล้ว Deacon คือคำตอบที่ เอลิซาเบธ ชอว์ ตามมาโดยตลอดว่า “พวกเขาสร้างเรา แต่ใครสร้างพวกเขา?” 

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสารสีดำที่ Engineer ดื่มในฉากเปิดของ Prometheus โดยตรงครับ จากบทเดิมที่หลุดออกมา จะมีบทสนทนาของ The Elder Engineer กับ The Young Engineer หรือคนอาวุโสกับคนหนุ่มที่ดื่มสารดำเข้าไป Engineer อาวุโสบอกว่า “นี่คือเลือดของพระองค์ (blood of our Lord)” พร้อมกับบอกด้วยว่า พระองค์ที่ว่าถูกพรากไปนานมากแล้ว การดื่มสารสีดำนี้จะทำให้พวกเขาสามารถสร้าง ‘Eden’ เป็นของตัวเองได้ หรือก็คือ Engineer ดื่มสารนี้เข้าไปจะกลายเป็นผู้สร้าง และสืบทอดเผ่าพันธุ์ตัวเองต่อไป แต่ในฐานะมนุษย์ โดยจะเฝ้าดูอยู่ห่างๆ อย่างที่ผมได้บอกไปในตอนต้นของบทความนี้ (ไดอะล็อกช่วงนี้เป็นการคอนเฟิร์มว่านี่ไม่ใช่ Black Goo)

ทีนี้อีกข้อมูลที่สำคัญมากๆ อีกชุด มาจากการอ่านอักขระตามทางเข้า บนใบหน้าใหญ่ยักษ์ในห้องเก็บ Black Goo และที่อื่นๆ จนถึงฉากที่เดวิดไปแอบยืนคุยกับเวย์แลนด์ผ่านฝัน ซึ่งสรุปได้ว่า ห้องที่ใช้กักเก็บ Black Goo นั้นเป็นเหมือนห้องทำพิธีศักดิ์สิทธิ์และเป็นสถานที่ให้กำเนิดพระเจ้าหรือพระองค์ที่ว่า โดยจะมีผู้ถูกเลือกทำการเสียสละเพื่อสร้างพระเจ้าของพวกเขา (Engineer) ขึ้นมาอีกครั้ง (ในตัวอย่างมีถ้วยใส่เลือดวางอยู่ในห้องนี้เหมือนกันแต่โดนตัดออก) และเพื่อที่สายเลือดของพระเจ้าจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จากนั้นพระเจ้าก็จะถูกบูชา

แต่พระเจ้าสูญพันธุ์ซะก่อน แม้พวก Engineer มีอายุยืนราว 3,000 ปี แต่ดูเหมือนถึงจุดหนึ่งพวกเขาเสียความสามารถในการผสมพันธุ์และสืบพันธุ์ (อย่างที่เห็นว่าดูเหมือนไม่มีอวัยวะเพศ) แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นพวกเขาเจอสิ่งมีชีวิตที่ฝากร่างในร่างสิ่งมีชีวิตอื่นได้ พวกเขาเรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่า Deacon และบูชามัน ก่อนที่พวกมันจะสูญพันธุ์ พวกเขาจึงพยายามที่จะสร้างสารเลียนแบบมันขึ้นมา (Black Goo) เพื่อที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่และขยายขอบเขตของชีวิต แต่กลับสร้างสิ่งอันตรายขึ้นมาแทนที่ตรงกันข้าม คือ ‘ความตาย’ หรือก็คือ Black Goo ใช้ได้ทั้งสร้างและทำลายชีวิตในเวลาเดียวกัน  Engineer ค้นพบสิ่งนี้จึงจะเอามันไปถล่มมนุษย์

 

 

อีกอย่างที่เป็นข้อพิสูจน์ตรงนี้เรื่อง Deacon คือ เมื่อฉายไฟฉายไปบนผนังห้องเก็บ Black Goo หรือสารทดลองเลียนแบบเลือดพระเจ้า จะเห็นเป็นรูปของ Deacon ครับ นั่นหมายความว่าพระเจ้าที่ Engineer บูชากัน ก็คือ Deacon นั่นเอง (ด้านล่างมีรูป Face Hugger ด้วย) พวกเขาบูชาสายพันธุ์หนึ่งของเอเลี่ยนในฐานะพระเจ้า ซึ่งทำไปทำมา มันเป็นตั้งสายพันธุ์แห่งความตาย และในขณะเดียวกันก็ให้ชีวิต รวมถึงเป็นสาเหตุการกำเนิดเกิดขึ้นของชีวิตมนุษย์อย่างเราๆ ด้วย ทำให้จากข้อมูลที่รวบรวมมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้เท่ากับว่าแม้จะยังหาคำตอบไม่ได้ว่าใครสร้าง Engineer 

แต่อนุมานได้ว่ามันเป็นเช่นนี้ครับ คือ Engineer เป็นสายพันธุ์มีสติปัญญา ส่วน Deacon เป็นสายพันธุ์นักล่าคล้ายๆ กับเสือ สิงโต หมาป่า ของระดับจักรวาล จากนั้น Engineer ค้นพบว่า Deacon แพร่พันธุ์ได้ในขณะที่พวกเขาทำไม่ได้ จึงกลับมองว่า ‘Deacon มีอำนาจเหนือพวกเขาและบูชาพวกมันเป็นพระเจ้า’

ลำดับขั้นและวงจรเลยเป็นดังนี้ Deacon > Engineer (ดื่มเลือด Deacon) > มนุษย์ > เดวิด (แอนดรอยด์) > นำ Black Goo ไปหยอดมนุษย์ > มนุษย์ผสมพันธุ์ > เกิด Trilobite หรือ Face Hugger เวอร์ชั่นปลาหมึกยักษ์ > ขยุ้มหน้า Engineer คนสุดท้าย (เน้นว่าคนสุดท้าย) ทำให้—อย่าง ironic—ก่อกำเนิดเป็น Deacon อีกรอบ เป็นลูปวนไป โดยคนที่ยืนกอดอกอยู่เหนือลูปและมองว่าทุกอย่างเป็นเกมหรือการทดลองในแล็บของตัวเท่านั้นคือเดวิด ผู้ถูกสร้างและผู้สร้างผู้หยิ่งผยอง ยโสโอหัง จาบจ้วงทุกสายพันธุ์ และเหนือทุกพระเจ้า (กระทั่งโค่นพระเจ้าของพระเจ้าตัวเองก็เคยมาแล้ว) นั่นเป็นสาเหตุที่ตั้งคำถามครับว่าถ้าเป็นเช่นนี้ เดวิดจะถือเป็นปลายทางทุกสายพันธุ์ได้หรือไม่ แล้วคำว่า ‘พระเจ้า’ จะศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่อีกหรือ หากคำเรียกและตัวตน ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ที่พระเจ้าสร้าง เช่นนั้นแล้วใครกันที่ควรถูกเรียกว่าพระเจ้า

อย่างที่รู้ๆ ศาสนาคริสต์ที่ถูกเน้นย้ำเสมอและดูเหมือนจะเป็นแรงบันดาลใจและอิทธิพลหลักๆ ให้กับทั้งสองเรื่องนั้น ในหนังก็ได้หาข้อสรุปที่ผนวกกับศาสนานี้ที่มีจริงๆ บนโลกเรานี้ว่าจริงๆ แล้วเป็นศาสนาของกลุ่ม Engineer ที่นำมาเผยแพร่ให้มนุษย์โลก รวมถึงตัวศาสนาเองด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นพอจะเมคเซนส์และตอบคำถามแล้วว่าทำไมใน Prometheus ตัวละคร เอลิซาเบธ ชอว์ ถึงได้กำกางเขนหลังจากรอดจาก Engineer มาได้ นั่นไม่ใช่การเชื่อในศาสนาและศาสดา แต่ความหมายลึกซึ้งกว่านั้นคือไม่ว่าจะอย่างไร เธอยังคงเชื่อในมนุษยชาติว่าควรได้รับโอกาสและเจตจำนงเสรี โดยไม่เกี่ยวว่าจริงๆ แล้วจะเกิดมาทำไม หรือถูกสร้างมาเพื่ออะไร? 

ทั้งสามพารากราฟนี้ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลหรือคำถามที่ทิ้งไว้ คือจุดประสงค์ทั้งหมดของหนังแฟรนไชส์ Prometheus แต่แรกก็ว่าได้ครับ

 

 

เป็นเรื่องน่าเสียดายมากๆ ที่สุดท้ายหนังออกมาเวย์นี้ (ถึงแบบนั้นก็ยังชอบ แค่เสียดายที่มันดีกว่านี้ได้) หลังจากที่ได้รู้คุณค่าที่แท้จริงของหนังทั้งสองเรื่องแล้ว 

เพราะในแบบที่ควรจะเป็นคือ ภาคแรก Prometheus ที่เน้นปรัชญาและบรรจุทุกอย่างที่กล่าวไปไว้ในหนัง ส่วนภาคสองชื่อ Alien: Paradise Lost ที่เล่าเรื่องเดวิดกับเอลิซาเบธที่เดินทางไปดาว Lv-426 หรือ Paradise จากนั้นก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Engineer รวมไปถึง Engineer กลุ่มแรกใน Prometheus ที่จะปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ แต่ในเมื่อเป็น Alien: Covenant แล้ว ก็ยังอยากให้มีภาค 3 ที่ชื่อ ‘Alien: Awakening’ อยู่ดีครับ ภาคนี้  ริดลีย์ สก็อตต์ แพลนไว้ว่าจะตอบคำถามทุกอย่าง และเป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างเดวิดกับ Engineer เริ่มจาก Engineer ที่รู้ว่า เดวิดไปถล่มเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่ดาว Planet 4 ทำให้พวกเขาตามล่าตัวเดวิด ในขณะที่เดวิดเองขนยานอาณานิคม Covenant ที่มีมนุษย์จำนวนมากไปบุกถล่ม Engineer จนดาวเป็นอย่างที่เห็นในหนัง Alien 

แต่ทั้งหมดนี้สลายหายไป และทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะ Prometheus เป็นหนังที่คนดูมองว่าจะ Engineer ก็ไม่สุด จะสยองหรือเน้นเอเลี่ยนก็ไม่ใช่ แต่พอคนสนใจ Engineer (แม้ค่ายไม่อยากให้สนใจเท่าไหร่) Alien: Covenant กลับไม่ได้เน้นเรื่องผู้สร้างแต่ไปเน้น Alien แทน ทำให้ใครก็ไม่อาจรู้ได้ครับว่าจริงๆ แล้วภาค 3 เป็นอากาศแต่แรกหรือไม่ในเมื่อบางที Prometheus เน้นปรัชญามากไปหนังก็อาจไม่ได้รายได้เท่านี้จนไม่มีภาค 2 ก็เป็นไปได้ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการมาไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วของแฟรนไชส์นี้ก็ได้นะครับ 

แม้จะรู้สึกเสียใจนิดๆ ที่หนังแฟรนไชส์นี้มีโอกาส mind blow และมีทฤษฎีของตัวเองที่ thought provoking ด้านอภิปรัชญาได้ไม่แพ้ The Matrix หรือซีรีส์ Westworld แต่อย่างน้อยก็ได้แต่หวังว่าความเนิร์ดไซไฟและเนิร์ดแฟรนไชส์เอเลี่ยนของผม จนไปหาอ่าน หาดู หาฟังมาตลอดนับตั้งแต่หนังสองเรื่องนี้ฉายจนเกิดเป็นบทความนี้ จะทำให้คนที่ชอบหรือสนใจหนังเรื่องนี้ได้ชอบมันมากขึ้นครับ 

ที่มา: 

– http://docplayer.net/54299743-Prometheus-by-damon-lindelof.html

– https://screenrant.com/alien-paradise-lost-prometheus-sequel-filming-plot/

– https://www.indiewire.com/2018/11/alien-awakening-plot-details-ridley-scott-michael-fassbender-1202020723/

– https://www.indiewire.com/2012/06/did-ridley-scott-just-ruin-the-mystery-of-prometheus-kill-its-sequel-109273/

– https://www.alien-covenant.com/topic/50585