เวียดนามจะปลูกต้นไม้พันล้านต้นสู้โลกร้อน แต่นโยบายนี้เวิร์กจริงเหรอ?

4 Min
652 Views
11 Jul 2021

เมื่อปีที่แล้ว เวียดนามเป็นอีกประเทศที่โดนพิษสงปัญหาการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศเล่นงานเสียยับเยิน

โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2020 เวียดนามโดนพายุโซนร้อนถล่มถึง 9 ลูกซ้อน มีผู้เสียชีวิตราวๆ 200 คน พื้นที่ประเทศหลายแห่งได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์

เหงียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีของประเทศ ได้กำหนดนโยบายขึ้นใหม่เพื่อแก้ไขและรับมือปัญหาที่ว่าในอนาคต โดยให้ชาวเวียดนามร่วมกันปลูกต้นไม้ให้ได้หนึ่งพันล้านต้น ให้สำเร็จภายในปี 2568

โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศมีต้นไม้เป็นเกราะกำบังเวลาเกิดพายุ ไปจนถึงเรื่องการปรับปรุงทิวทัศน์ รักษาระบบนิเวศ และแก้ไขปัญหาเรื่องโลกร้อน

หากว่ากันตามเจตนา การเพิ่มต้นไม้หรือพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ถือเป็นเรื่องดีและคงไม่มีใครคิดปฏิเสธ ถ้าเป้าเป็นแค่การ “เพิ่มพื้นที่สีเขียว” แต่หากจะให้ “การปลูกต้นไม้พันล้านต้น” นำไปสู่แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ว่าทั้งหมด ประเด็นนี้ก็คงต้องมาล้อมวงนั่งคุยในรายละเอียดกันอีกสักหน่อย

นักเรียนในจังหวัดตอนเหนือของประเทศช่วยกันปลูกต้นไม้

นักเรียนในจังหวัดตอนเหนือของประเทศช่วยกันปลูกต้นไม้ | Vietnam News

ต้นไม้กันพายุได้ไหม?

คุณสมบัติประการหนึ่งของต้นไม้ คือ การเป็นด้านหน้าในการรับแรงกระแทกจากคลื่นลมต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้มีการศึกษาและยอมรับกันมานานแล้วว่าต้นไม้มีส่วนช่วยได้จริงๆ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ว่าเรามีต้นไม้มาก หรือเรียกรวมๆ ว่าเป็น “ป่า” เป็นต้นว่าป่าชายเลนสามารถลดความรุนแรงของคลื่นลมที่จะเข้ามาปะทะได้

กรณีที่จะปลูกต้นไม้เพื่อคุ้มกันฟ้าฝน พายุ คลื่นลมแรงๆ ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องว่ากันในอนาคตไกลๆ เมื่อต้นไม้ที่ลงมือปลูกกันในวันนี้ได้เติบใหญ่หยั่งรากฝังลึกจนแข็งแกร่งแล้วในวันหน้า

ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้น ก็ต้องไปคุยกันต่อในหัวข้อ “บริเวณพื้นที่ปลูก”

ซึ่งในแผนการฉบับแรกที่ออกมา รัฐบาลระบุว่าจะแบ่งการปลูกต้นไม้ 85% ไว้ในพื้นที่เมือง ชุมชน เช่น ในสวนสาธารณะ โรงเรียน ริมถนน ตลอดจนพื้นที่ว่างเปล่าและเขตอุตสาหกรรม ส่วนที่เหลือปลูกเสริมกระจายไปในพื้นที่รอบนอก หรือจุดที่ป่ากำลังเสื่อมโทรม

ซึ่งภัยพิบัติใหญ่ๆ ที่เวียดนามเผชิญในปีที่แล้ว เช่น เรื่องโคลนถล่มนั้นเกิดขึ้นในพื้นที่นอกเมืองเสียจะทั้งหมด แต่ไฉนนโยบายปลูกต้นไม้ถึงวางแผนมาปลูกในเมือง

ฉะนั้น ในกรณีที่จะป้องกันภัยพิบัตินั้นคงจะสำเร็จยาก

แต่ก็จะไปตอบโจทย์ในเรื่องการสร้างภูมิทัศน์ในเมืองแทน

ซึ่งข้อดีตรงนี้จะทำให้คนเมืองมีพื้นที่สีเขียวไว้พักผ่อนหย่อนใจมากขึ้น อากาศของเมืองก็จะเย็นลง ไปจนถึงช่วยฟอกอากาศและมลพิษ ช่วยสร้างสุขภาพจิตที่ดีให้กับคนเมืองตามงานวิจัยจำนวนมากที่เน้นย้ำส่งเสริมให้เมืองต้องมีพื้นที่สีเขียวมากขึ้น

การพัฒนาเมืองขึ้นใหม่ ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ป่าเวียดนามถูกทำลาย

การพัฒนาเมืองขึ้นใหม่ ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ป่าเวียดนามถูกทำลาย | mongabay

ปลูกต้นไม้ลดโลกร้อน?

ทีมนักวิจัยจาก Crowther Lab ในสวิตเซอร์แลนด์ เคยวิเคราะห์ว่า โลกใบนี้จำเป็นต้องมีต้นไม้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยๆ ห้าแสนล้านต้น “เพื่อบรรเทา” ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการปลูกต้นไม้เพิ่มนั้นถือเป็นทางออกหนึ่งที่สำคัญแน่ๆ ไม่ว่าจะปลูกตรงไหนก็ตาม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ต้องมาดูกันต่อในกรณีของเวียดนาม คือ การปลูกอย่างเดียวอาจไม่ใช่หนทางการแก้ไขปัญหาทั้งหมด ซึ่งเราต้องคุยกันถึงเรื่องที่ว่าทุกวันนี้เวียดนามยังโค่นป่าดั้งเดิมของประเทศกันเป็นว่าเล่น เพื่อสนองตอบการพัฒนาเมืองในถิ่นทุรกันดาร (แถมพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติของเวียดนามก็มักเป็นจุดก่อสร้างนี่ล่ะ)

ซึ่งป่าดั้งเดิมที่ว่านี่ คือป่าออริจินัลที่ยังสมบูรณ์ ไม่ถูกบุกรุก ไม่ใช่ป่าที่ปลุกขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นป่าที่มีศักยภาพในการเก็บกักคาร์บอนฯ ได้เป็นอย่างดี เก็บไว้มาก และเก็บไว้นาน

ถ้าหากเราไปโค่นป่าที่ว่านั้นลง นโยบายเรื่องลดโลกร้อนก็ดูจะไม่เป็นผล รังจะเหมือนบราซิลที่โค่นป่าแอมะซอนจนกลายเป็นป่าปล่อยคาร์บอนฯ เสียมากกว่าช่วยกักเก็บเสียแล้วในปัจจุบัน

แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับในศักยภาพของเวียดนาม ถ้าพวกเขาบอกว่าจะปลุกต้นไม้ พวกเขาก็จะปลูกมันจริงๆ ซึ่งเวียดนามเคยมีนโยบายปลูกต้นไม้ออกมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงยังนำเรื่องนี้ไปผสมไว้ในประเพณี ตัวอย่างเช่น สร้างธรรมเนียมปฏิบัติให้ผู้คนหันมาปลูกต้นไม้ในช่วงวันตรุษจีน

ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เวียดนามมีพื้นที่ป่าคิดเป็น 40% ของพื้นที่ประเทศ เพิ่มขึ้น 10% จากอดีต ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่น้อยทีเดียวหากเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้แต่ไทยเองที่ค่อนข้างจะทรงตัว หรือขยับขึ้นแค่ 1-2% เป็นส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นส่วนใหญ่กับเป็นต้นยูคาลิปตัส และอะคาเซีย ซึ่งเป็นไม้ใช้สอยเสียมากกว่า

เรื่องนี้จึงกลับกลายเป็นว่า เป็นการปลูกเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ผ่านการส่งออกไม้ซุงและอุตสาหกรรมกระดาษ

รถบรรทุกไม้ สามารถพบเห็นได้ทั่วในพื้นที่ที่มีป่าของเวียดนาม

รถบรรทุกไม้ สามารถพบเห็นได้ทั่วในพื้นที่ที่มีป่าของเวียดนาม | mongabay

สำหรับนโยบายปลูกต้นไม้พันล้านต้นคราวนี้ ทางรัฐบาลยังไม่ได้บอกว่าจะให้ปลูกหรือสนับสนุนกล้าไม้พันธุ์อะไร แต่หากยังเดินตามความสำเร็จเชิงปริมาณเช่นในอดีต คำตอบของเรื่องลดโลกร้อนหรือเพิ่มความหลากหลายทางระบบนิเวศก็ดูจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องนัก

โดยรวมๆ แล้วเรื่องนี้ก็ถือเป็นความคิดที่ดี และควรลงมือทำ ต่อให้เป็นการปลูกเพื่อเศรษฐกิจหรือเพิ่มภูมิทัศน์ละลานตาสราญใจให้กับประชาชนจนถึงรัฐมนตรีก็ตาม

แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเราสามารถตอบโจทย์ได้ทุกข้อตามที่ตั้งเป้าหมาย โดยเฉพาะปัญหาเรื่องโลกร้อนและภัยพิบัติ ที่คนเวียดนามจะต้องเจอไปอีกนานแสนนานทีเดียว

อ้างอิง

  • Mongabay. ‘Drastic forest development’ : Vietnam to plant 1 billion trees — but how? https://bit.ly/3hWkwzN
  • European Parliament. Forest in south-east asia, Can they be saved? . https://bit.ly/3dIzlEr
  • Business Insider. Planting trees could make a huge dent in our growing climate crisis. But we’d need to cover an area the size of the US, starting right now. https://bit.ly/3hnxDeg