ในช่วงที่ผ่านมา หลายคนน่าจะได้ยินข่าวนักศึกษารายหนึ่งออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา นับว่าเป็นประเด็นสำคัญที่มีการถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย แต่วันนี้เราจะไม่ได้มาพูดเรื่องการล่วงละเมิด (ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นอยู่แล้ว) แต่จะชวนทุกคนแวะสำรวจประเด็นข้างเคียงกันในเรื่อง Victim Blaming หรือ การกล่าวโทษเหยื่อ กันสักหน่อย
ถ้าจะอธิบายให้ชัด การกล่าวโทษเหยื่อเป็นเหมือนการผลักภาระความผิดชอบไปที่ผู้เสียหาย เหมือนการสื่อว่าเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้น ต้นเหตุมาจากพฤติกรรมบางอย่างของเหยื่อเอง ซึ่งในสังคมไทย การกล่าวโทษเหยื่อเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงเสียด้วย
ถูกข่มขืน เพราะว่าไปเดินไปที่อันตราย
ถูกลวนลาม เพราะว่าแต่งตัวโป๊เอง
ถูกล่วงละเมิด เพราะว่าไปอ่อยเขา

Way I Didn’t Report | feminisminindia.com
ไม่ใช่แค่ในบ้านเรา ข่าวล่าสุด ศาลชั้นต้นแห่งหนึ่งในเปรูตัดสินให้ชายผู้หนึ่งพ้นผิดคดีข่มขืน หลังจากดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้นปี 2019 การตัดสินให้พ้นผิดดังกล่าวคงจะไม่มีอะไร ถ้าเป็นเหตุผลที่คนมีสติเข้าใจได้ตามปกติ
แต่ศาลเลือกให้เหตุผลว่า ‘เหยื่อ’ นั้น “สมยอม” เพราะเธอใส่ ‘กางเกงในสีแดง’ ไปที่งานปาร์ตี้ที่เธอถูกข่มขืน และการใส่กางเกงในสีแดงถือเป็นการส่งสัญญาณว่าเธอพร้อมจะร่วมเพศนั่นเอง ซึ่งนับว่าเป็นอีกครั้งที่ใครบางคนเลือกมองว่า ปัญหาอาชญากรรมนั้นมาจากพฤติกรรมของเหยื่อเพียงฝ่ายเดียว
สลับภาพมาที่ปัจจุบัน จากเหตุการณ์ดังกล่าว เราจะพบเห็นคนบางกลุ่มคอมเมนต์ในลักษณะโจมตีผู้เสียหายอยู่เรื่อยๆ
ก็ไปอ่อยเขาหรือเปล่า
ถ้าไม่เริ่มเขาคงไม่สนอง
เด็กคนนี้ไม่บริสุทธิ์แล้ว ประจานตัวเอง
ให้ท่าเองหรือเปล่า ดูทรงแล้วร่าน
ตั้งใจขายแล้วครูไม่สนป่าว
นอกจากจะเป็นการทำให้เหยื่อต้องเจอกับความทุกข์ทางจิตใจแล้ว ยังเหมือนเป็นการปกป้องผู้กระทำผิดไปในตัว ซึ่งในกรณีนี้เราขอไม่พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าใครถูกใครผิด เพราะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการสืบสวนทำงานต่อไป
ถ้าเราสังเกตให้ดี ประโยคเหล่านั้นเป็นเหมือนการดึงความสนใจไปที่พฤติกรรมของเหยื่อ
เหยื่อเป็นคนแบบไหน
เหยื่อแต่งตัวอย่างไร
เหยื่อชอบเที่ยวกลางคืนอยู่แล้วใช่ไหม ชุดความคิดแบบนี้จะทำให้การกระทำดูเหมือนไม่รุนแรงอย่างที่มันเกิดขึ้นจริง และผู้ต้องหาอาจไม่ได้รับโทษอย่างที่ควรจะเป็น
อีกทั้งหลายครั้งพอเกิดเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น สังคมมักจะตั้งเป้าไปที่เพศหญิง และบอกให้พวกเธอเปลี่ยนพฤติกรรม เลิกไปเที่ยวกลางคืน เลิกกินให้เมา เลิกแต่งตัวโป๊ แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าพวกเธอจะมีพฤติกรรมอย่างไร แต่งตัวแบบไหน ก็ไม่ได้เป็นการอนุญาตให้ใครมาล่วงละเมิดได้เสียหน่อย
นิทรรศการ “What Were You Wearing?” เป็นอีกหนึ่งนิทรรศการสำคัญที่ทำให้เราเห็นภาพชัดว่า เหยื่อ ไม่ได้แต่งตัวล่อแหลม หรือไม่มิดชิดเลย เป็นเพียงชุดปกติทั่วไปในชีวิตประจำวัน มิหนำซ้ำ บางชุดยังเป็นชุดที่มิดชิดกว่าปกติเสียด้วย เพื่อชี้ให้เห็นว่า ‘เสื้อผ้า’ ที่พวกเธอเลือกใส่ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการข่มขืนเลย
เพราะฉะนั้น การมาบอกพวกเธอว่าไม่ควรใส่แบบนี้ ไม่ควรทำแบบนี้ ก็อาจจะไม่ช่วยอะไรและเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่นัก
อ่านมาถึงตรงนี้ เราสังเกตอะไรกันบ้างไหม กลุ่มเหยื่อที่ตัวผู้เขียนพูดถึง มักจะเป็น ‘ผู้หญิง’ อยู่เสมอ และหลายฝ่ายก็มองว่า ประเด็นเรื่อง Victim Blaming นั้นยึดโยงอยู่กับ ระบบชายเป็นใหญ่อย่างแยกกันไม่ออก
เพราะพอผู้หญิงกลายเป็นอัตลักษณ์ชายขอบจากระบบชายเป็นใหญ่ ก็จะทำให้มีอำนาจต่อรองน้อยกว่าเพศชาย และทำให้พวกเธอถูกกล่าวโทษมาอย่างยาวนาน
ดร. ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ อธิบายกับสื่อออนไลน์ว่า
“การกล่าวโทษเหยื่อ จะมีความรุนแรงมากน้อยก็มีความซับซ้อน ขึ้นอยู่กับว่าผู้หญิงคนนั้นมีแหล่งอำนาจอื่นมาสนับสนุนหรือเปล่า เช่น หากผู้หญิงคนนั้นเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย จะมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงที่เป็นพริตตี้ เพราะมีทั้งอัตลักษณ์ชายขอบและอัตลักษณ์กระแสหลัก ดังนั้น เมื่อมีความเป็นหญิงอยู่ในตัวจะถูกตีตรา แต่ถ้ามีอัตลักษณ์กระแสหลักอื่นๆ รวมอยู่ในตัวด้วย การถูกลงโทษอาจจะเบาบางลงในความเป็นหญิง”
ซึ่งยังยึดโยงอยู่กับประเด็นทางสังคมอื่นๆ อีกหลากหลายประเด็น เอาเป็นว่าเราจะหยิบยกมานำเสนอกันโอกาสถัดๆ ไป
เพราะความเป็นจริงแล้ว Victim Blaming ไม่ได้เป็นประเด็นที่พูดถึงเรื่องการล่วงละเมิดหรืออาชญากรรมเพียงอย่างเดียว ถ้านึกคิดกันให้ดี เราจะพบเลยว่าสังคมไทยเคยชินกับการกล่าวโทษกลุ่มคนที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่าอยู่แล้ว
เด็กโดนตีจนไม่สบาย เพราะเป็นเด็กเกเร (แต่ไม่ค่อยมีใครตั้งคำถามกับครู)
เด็กคนหนึ่งลาออก เพราะไม่สู้งาน (แต่ไม่ค่อยมีใครตั้งคำถามกับหัวหน้าหรือระบบการทำงาน)
เด็กโง่ เพราะไม่ขยัน (แต่ไม่ค่อยใครตั้งคำถามกับรูปแบบการศึกษา)
สุดท้ายนี้ ถ้าเราสามารถลดทอนเรื่องการกล่าวโทษเหยื่อไปให้เหลือน้อยที่สุดได้ เชื่อว่าเราจะได้เห็นความเป็นจริงที่ชัดแจ้งมากยิ่งขึ้น และสังคมก็จะสามารถเติบโต แก้ไขได้อย่างตรงจุด
อ้างอิง :
- Sanook. “Victim Blaming” ความรุนแรงที่ทุกคนร่วมสร้าง https://bit.ly/39kqUhs
- K. Therapeutist นักจิตวิทยาการปรึกษา. พฤติกรรมกล่าวโทษเหยื่อจะเป็นธรรมชาติที่ฝังลึก?: การโยนความเปราะบางจากส่วนลึกใส่กันเองของคนในสังคม. https://bit.ly/3o2LCXh
- 101. Blaming The Victim, Blaming The Student. https://bit.ly/3ligyRq
+0