ย้ำอีกครั้งหนึ่ง! แพนด้าแห่งทะเล โลมา ‘วากีตา’ เหลือแค่ 10 ตัวเท่านั้น และลูกหลานเราคงไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว

3 Min
631 Views
17 Aug 2023

สิ่งมีชีวิตอย่างโลมา ‘วากีตา’ (Vaquita) อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสายพันธุ์สัตว์ที่มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อรอการสูญพันธุ์เท่านั้น เนื่องจากตลอดทศวรรษที่ผ่านมาไม่มีท่าทีใดๆ เลยที่บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้จะเพิ่มจำนวนขึ้น หรือมีโอกาสที่จะรอดจากการสูญพันธุ์แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว

โดยล่าสุด International Whaling Commission หรือ คณะกรรมาธิการล่าวาฬระหว่างประเทศ (IWC) เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานหนึ่งที่ออกมาประกาศเตือนว่า หากมนุษย์ยังคงจับปลาอย่างไม่เกรงใจธรรมชาติ โลมาสายพันธุ์นี้จะต้องสูญพันธุ์อย่างแน่นอน

อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด คำเตือนเกี่ยวกับการสูญพันธุ์ของโลมาวากีตานั้นมีขึ้นมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่เรานับจำนวนได้ว่าพวกเขาเหลือไม่ถึง 10 ตัวแล้วนะ 

แต่ในทุกๆ ครั้งที่มีการเตือน ก็เหมือนเป็นเพียงเสียงที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่มีปฏิกิริยาที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดๆ 

ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุให้ IWC ที่เป็นองค์กรอนุรักษ์วาฬระดับโลกต้องออกแรงกล่าวเตือนข้ามสายพันธุ์มาสู่กลุ่มโลมาอีกแรง เพื่อกระตุ้นเตือนให้นานาชาติที่เข้าข่ายมีส่วนได้ส่วนเสียทำให้โลมาวากีตาต้องสูญพันธุ์ กลับมาย้ำคิดและหาทางป้องกันอีกครั้ง

สำหรับวากีตาถูกจัดเป็นสัตว์กลุ่มโลมาขนาดเล็ก ที่พบเฉพาะตอนเหนือของอ่าวแคลิฟอร์เนีย หรือชายฝั่งทะเลในประเทศเม็กซิโก 

ชื่อวากีตาเป็นคำในภาษาสเปนมีความหมายว่า ‘วัวน้อย’ เพราะมีคนเห็นว่าหน้าตาของวากีตาละม้ายคล้ายกับวัวเด็ก นอกจากนี้ วากีตายังมีชื่อเล่นว่า ‘ซินญอริตาแห่งท้องทะเล’ หรือแพนด้าแห่งมหาสมุทร เพราะมีวงแหวนสีดำรอบดวงตา และริมฝีปากสีดำโดดเด่น 

ในผืนทะเล วากีตามีหน้าที่ทั้งเป็นผู้ควบคุมประชากรของปลาและหมึกไม่ให้มีล้นเกินไป ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งพลังงาน (อาหาร) ให้กับฉลาม

โลมาวากีตา ถือเป็นโลมาสายพันธุ์เฉพาะตัว ไม่ค่อยใกล้เคียงกับโลมาสายพันธุ์อื่นมากนัก จากวิวัฒนาการที่พัฒนามานาน จึงถือเป็นสายพันธุ์เฉพาะที่หาสายพันธุ์อื่นมาทดแทนไม่ได้ – หากสูญพันธุ์ไป

ส่วนเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้โลมาวาตีกาสูญพันธุ์ มาจากการทำประมงที่พรากเอาชีวิตพวกมันไปอย่างน่าเศร้า

ตามปกติแล้ว โลมาวาตีกาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ใคร่อยากจับมากินเป็นอาหารนัก แต่ความตายของโลมาวากีตาเกิดขึ้นเพราะความซวย ที่ดันไปติดอวนการทำประมงแถบถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันเอง

โดยในละแวกที่โลมาวากีตาใช้เป็นบ้านพักพิงมีสัตว์เศรษฐกิจอย่าง กุ้งและปลาตาตัวบา (ปลาจวดเม็กซิกัน) อาศัยอยู่ร่วมกัน

การทำประมงที่ไม่ได้มีการจำกัดรายละเอียดวิธีการจับเฉพาะกุ้งหรือปลาตาตัวบา เป็นเหตุให้โลมาวากีตาพลอยซวยถูกจับไปกับการลากอวนอย่างเลี่ยงไม่ได้

ตามข้อมูลการสำรวจประชากร พบว่าในปี 1997 มีโลมาวากีตาเหลืออยู่ประมาณกว่า 500 ตัว และลดลงมาเหลือไม่ถึง 300 ตัวในปี 2018

อันที่จริงการประเมินจำนวนประชากรของโลมาวากีตามีมาก่อนหน้านั้นหลายปี และโลมาตัวน้อยเหล่านี้ก็ถูกยกระดับให้ใกล้สูญพันธุ์ก่อนหน้านั้นมาสักระยะแล้ว แต่ด้วยความที่ทางการเม็กซิโกมีความไม่มั่นใจ (หรือไม่ยอมรับ) ว่าสถานะของโลมาวากีตาสุ่มเสี่ยงจะสูญพันธุ์จริง จึงทำให้การยกระดับงานอนุรักษ์เกิดขึ้นล่าช้า จนเกือบจะสายเกินไป

รัฐบาลเม็กซิโกเพิ่งมาให้ความสำคัญกับการสร้างเขตอนุรักษ์เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ของโลมาวากีตาในปี 1996 แต่กว่าจะมาเอาจริงเอาจังจนเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ก็ปาเข้าไปในปี 2007 ที่ได้ประกาศเขตลี้ภัยให้กับโลมาวากีตา – สนับสนุนการประมงทางเลือกที่ไม่สร้างผลกระทบต่อโลมา – การจำกัดการประมง – ถอดถอนเรือที่ทำผิดกฎหมาย หรือใช้เครื่องมือทำลายล้าง

แต่ในแง่ของการปฏิบัติกลับไม่ค่อยมีความจริงจังสักเท่าไหร่ จำนวนโลมาวากีตาจึงลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงหลักสิบในทศวรรษปัจจุบัน

ก่อนหน้าที่ IWC จะออกมาเตือนย้ำอีกครั้งหนึ่ง มีหลายประเทศพยายามกดดันเม็กซิโกให้หันมาเอาจริงเอาจังและเข้มงวดกับการอนุรักษ์โลมาวากีตาให้มากยิ่งกว่าเก่า โดยสหรัฐอเมริกาและประเทศภาคีในสนธิสัญญาไซเตสได้ตัดสินใจคว่ำบาตรสินค้าจากเม็กซิโก หากรัฐบาลยังทำตัวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

จนคราวนี้ที่องค์กรระดับนานาชาติออกมาพูดเอง ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการสูญพันธุ์จะแก้ไขอย่างไรต่อไป

แต่ก็คงต้องย้ำอีกครั้งหนึ่ง! โลมา ‘วากีตา’ เหลือแค่ 10 ตัว เท่านั้น และเรารอช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

อ้างอิง