‘Under Presure’ จากบทเพลงกดดันของ Queen + David Bowie สู่ซีนที่น่าจดจำในหนัง Aftersun

3 Min
1008 Views
22 Feb 2023

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นอกจากเนื้อเรื่องที่ชวนใจสลายที่ค่อยๆ กัดกินใจเราจนถึงวินาทีสุดท้ายอย่างเชื่องช้า และทำงานหนักหน่วงมากๆ แล้ว ส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้หนัง ‘Aftersun’ สร้างโมเมนต์อันแสนทรงพลังได้ ก็คือบทเพลงในหนังที่เปรียบเสมือนหนึ่งในตัวละครที่ช่วยสร้างบรรยากาศของหนังให้อย่างวิเศษ โดยเฉพาะ ‘Under Presure’ บทเพลงร็อกอมตะของ Queen และ David Bowie ซึ่งบรรเลงไว้ในตอนจบนั่นเอง

ซึ่งในระหว่างที่บทเพลงนี้ดังขึ้นมาในตอนท้าย ก่อนหน้านั้นหนังก็รายล้อมไปด้วยช่วงเวลาอันเรืองรองของ Pop Music ปลายยุค 90 ด้วยบทเพลงจากศิลปินดังๆ ในช่วงทศวรรษ 1990s ไม่ว่าจะเป็น The Lightning Seeds ในเพลง ‘Lucky You’ เพลง ‘Road Rage’ ของ Catatonia รวมไปถึงเพลงที่โซฟีชวนพ่อไปร้องคาราโอเกะอย่าง ‘Losing My Religion’ ของ R.E.M. หรือเพลง ‘Tender’ เพลงสุดเหงาเศร้าสร้อยของ Blur ก็ปรากฏขึ้นเพื่อบอกเล่าช่วงเวลาที่งดงามและแสนสั้นของพ่อลูกที่มาพักร้อน โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้อนาคตของทั้งสองจะลงเอยเช่นไร

โดย ลูซี ไบรท์ (Lucy Bright) ตำแหน่ง Music Supervisor ประจำหนังเรื่องนี้กล่าวถึงการทำงานร่วมใน Aftersun ได้อย่างน่าสนใจว่า “หนังดำเนินเรื่องในช่วงปลายยุค 90 ซึ่งมันตรงกับฉันมาก เพราะตอนนี้ฉันอายุ 44 ปี ดังนั้นช่วงเวลาในหนัง ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการทำมิกซ์เทปแบบโบราณ หลายเพลงมันมีความเฉพาะเจาะจงกับสถานที่นั้นๆ เช่น รีสอร์ตตากอากาศในตุรกี ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เบ่งบานของดนตรี Europop ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพลงอย่าง ‘Macarena’ ของ Los del Río ดังมากทั้งเพลงและท่าเต้น หรือเพลง ‘My Oh My’ ของ Aqua เอง ซึ่งมันค่อนข้างที่จะ ‘อังกิ๊ด อังกฤษ’ ในช่วงเวลานั้น

“ส่วน ‘Under Pressure’ ชาร์ลอตต์เลือกใส่เพลงนี้ในกระบวนการตัดต่อ และไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณใส่เพลงที่มีเอกลักษณ์เหมือนเพลงนั้นเข้าไป มันก็ยากมากที่จะหาเพลงอื่นมาทดแทน”

‘Under Pressure’ ถือกำเนิดขึ้นด้วยความบังเอิญ จากที่ Queen ในขณะนั้นง่วนอยู่กับการเขียนและทำเพลง ‘Feel Like’ ไม่เสร็จเสียที ซึ่งในช่วงเดียวกัน David Bowie ก็กำลังง่วนอยู่กับการทำเพลงประกอบหนัง ‘Cat People’ อยู่พอดี การพบกันของตำนานทั้งสองในห้องอัดห้องเดียวกัน ทำให้ทั้งสองต่างแลกกันมาช่วยเหลือ โดยเมอร์คิวรีช่วยร้องท่อนคอรัสให้ ส่วนโบวีก็ช่วยทำเพลงนี้จนสำเร็จ และเปลี่ยนชื่อเพลงเป็น ‘Under Pressure’ ในเวลาต่อมา

ซึ่งระหว่างที่อัดเพลง ‘Under Pressure’ ก็สมกับชื่อเพลง เพราะมันอัดแน่นไปด้วยความกดดันมากมายของอีโก้ทั้งสองเบอร์ แต่ท้ายที่สุดบทเพลงนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในตำนานตลอดกาลของวงการร็อก และมันก็กลายเป็นหนึ่งในบทเพลงแห่งความทรงจำมากมายของผู้คนที่เติบโตมากกับบทเพลงและวัฒนธรรมร็อกของทั้ง Queen และ David Bowie ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือตัว แคลลัม ปีเตอร์สัน ด้วย

(มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนังในย่อหน้านี้)

แคลลัม แบกความทุกข์และความกดดันที่ถาโถมเอาไว้อย่างเดียวดาย โดยลูกสาวของเขา (รวมไปถึงคนดูอย่างเราๆ ด้วย) ได้แต่เฝ้ามองการทนฝืนกล้ำกลืนมีความสุขของผู้เป็นพ่อที่ไม่ค่อยๆ เผยความทุกข์ให้เห็น ไม่ว่าจะการเป็นพ่อคนในช่วงเวลาที่ยังไม่พร้อม การปะทะกันภายในของการเป็นเด็กในคราบผู้ใหญ่กับการเป็นผู้ใหญ่ที่ยังมีมุมมองของเด็ก ไปจนถึงการต้องค่อยๆ นับถอยหลังเตรียมใจรับช่วงเวลาแห่งความสุขที่ค่อยๆ ลดน้อยลงไปเพราะเขาอาจจะไม่ได้พบหน้าลูกสาวของเขาอีกต่อไปแล้ว ซีนปาร์ตี้สุดท้ายที่พ่อเข้าร่วมวงเต้นรำในเพลง ‘Under Pressure’ เสมือนการปล่อยความกดดันนี้ แล้วส่งต่อภาพความทรงจำให้ฝังหัวโซฟีลูกสาวของเขาไปตลอดกาล

เนื้อหาของเพลง ‘Under Pressure’ บอกเล่าถึงความกดดันมากมายในชีวิต แต่สุดท้ายความรักเท่านั้นที่จะช่วยนำความทุกข์ที่ถาโถมออกจากบ่าเราไปได้

แน่นอนว่าความกดดันนี้ก็อยู่ในตัวผู้สร้าง Aftersun ด้วยเช่นกัน เพราะเท่าที่ทราบ เพลงในตำนานขนาดนี้ย่อมแลกมาด้วยค่าลิขสิทธิ์ที่แพงตามมา แต่โชคดีที่เมื่อทุกคนเห็นหนังก็ยอมลดราคาเพื่อให้เพลงนี้ได้ไปต่อ และมันก็กลายเป็นหนึ่งในซีนทรงพลังของหนังในปี 2022 และอาจจะเป็นซีนในดวงใจตลอดกาลของใครหลายๆ คน

“ฉันมีความสุขมากๆ เมื่อมีฟีดแบ็คจากคนดูหนังว่า “ฉันไม่สามารถฟัง ‘Under Pressure’ เหมือนเดิมได้อีกต่อไป” ซึ่งคิดว่าไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น” ลูซี ไบรท์ ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

และนี่คือ ‘Under Pressure’ จากความกดดันสู่ความประทับใจบนจอภาพยนตร์

Aftersun ยังคงฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ Documentary Club