4 Min

ทำไม ‘อังกฤษ’ ถึงเป็นชาติยุโรปเดียวที่ใช้ AstraZeneca เป็นวัคซีนหลัก และฉีดได้เร็วกว่าประเทศอื่น?

4 Min
505 Views
21 Jul 2021

Select Paragraph To Read

  • ดีลวัคซีนแบบ Brexit ที่ไร้พันธะจาก EU
  • วัคซีนที่คิดค้นโดยอังกฤษ เพื่อชาวอังกฤษ
  • การเมืองเรื่องวัคซีน

อังกฤษถือเป็นชาติตะวันตกที่ฉีดวัคซีนไปเยอะมาก และน่าจะเป็นชาติแรกในโลกที่มีประชากรระดับเกิน 50 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 2 เข็มเกิน 70% ของประชากร

และก็ไม่แปลกที่อังกฤษตัดสินใจยุติล็อกดาวน์อย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา

ต้องยอมรับว่าอังกฤษฉีดวัคซีนได้เยอะและเร็วจริงๆ ถ้าเทียบกับปริมาณประชากร

ถามว่าอังกฤษทำแบบนี้ได้อย่างไร? ต้องอธิบายกันยาวหน่อย

ดีลวัคซีนแบบ Brexit ที่ไร้พันธะจาก EU

ประการแรก เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันก่อน วัคซีนที่อังกฤษฉีดเป็นหลักให้ประชากรแทบทั้งหมด คือ AstraZeneca แบบเดียวกับที่ควรจะฉีดในบ้านเรา

ถ้าเป็นไปตามแผนแต่แรก นี่คือไอเดียของอังกฤษเลย เพราะถ้าไปดูวัคซีนที่อังกฤษอนุมัติมีหลายตัว แต่ตัวที่ฉีดหลักคือ AstraZeneca

แล้วทำไมอังกฤษฉีดได้ บ้านเขาผลิตวัคซีนได้เยอะเหรอ?

นี่แหละเรื่องที่น่าสนใจ เพราะจริงๆ อังกฤษผลิตวัคซีนได้แค่ 20% ของวัคซีนที่ฉีดเท่านั้น ที่เหลือ 80% คือนำเข้าโดยในวัคซีนที่นำเข้า 20% มาจากอินเดีย อีก 80% คือมาจากสหภาพยุโรป

หรือพูดง่ายๆ วัคซีนที่ฉีดในอังกฤษแทบทั้งหมด นำเข้ามาจากสารพัดโรงงานผลิตวัคซีนในสหภาพยุโรป ที่ไปทำสัญญาผลิตให้ AstraZeneca เหมือน SiamBioscience บ้านเรา

คำถามคือ อังกฤษมีประชากรไม่น้อย (ราว 56 ล้านคน) ทำไมถึงมีวัคซีนฉีดก่อนชาวบ้าน?

เพราะดูประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะน้อยใหญ่ในยุโรป ส่วนใหญ่ฉีดได้ราวๆ 40% เศษๆ เท่านั้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2021 คือฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ยันกรีซนี่ฉีดได้พอๆ กันหมด มีแต่อังกฤษเท่านั้นที่ฉีดวัคซีนได้เกือบ 70%

สาเหตุเพราะชาติยุโรปนั้นดีลวัคซีนในฐานะสหภาพยุโรปซึ่งสปิริตคือ แต่ละชาติต้องได้วัคซีนเท่าๆ กันไปตามสัดส่วนประชากร

คือถ้าวัคซีนขาดส่ง ก็ต้องเฉลี่ยกันไปตามประชากร ดังนั้นจะฉีดไปพร้อมๆกัน และเรียกได้ว่านี่คือสปิริตของภูมิภาคแท้ๆ ที่น่าทึ่งระดับน่าขนลุก เพราะเห็นเลยว่าวิกฤตขนาดนี้ประชาคมยุโรปก็ยังไม่ทอดทิ้งกัน ชาติที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแบบเยอรมนีก็ได้ฉีดวัคซีนไปพร้อมกับชาติที่เศรษฐกิจล้มลุกคลุกคลานแบบกรีซ

แต่อังกฤษไม่ต้องการจะเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาติยุโรป และก็ทำการ Brexit ออกจากสหภาพยุโรปก่อนโควิดแล้ว และก็แน่นอน เมื่อเกิดโควิด ดีลวัคซีนของอังกฤษก็เป็นดีลแยกที่ต่างจากดีลของสหภาพยุโรปรวมๆ

ในขณะที่ดีลสหภาพยุโรปรวมๆ มีลักษณะแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เขียนเอาไว้ว่าถ้าบริษัทผลิตวัคซีนส่งไม่ทันก็ให้ตัดการส่งทุกประเทศเท่าๆ กันตามสัดส่วนประชากรเพื่อความยุติธรรมกับทุกชาติ

แต่ดีลของอังกฤษเขียนว่า ถ้าบริษัทส่งวัคซีนไม่ทัน ก็ต้องไปตัดโควตาชาติอื่นๆ มาส่ง ไม่งั้นจะโดนโทษหนัก เรียกได้ว่าเขียนสมเป็นชาติพ่อค้าผู้ให้กำเนิดทุนนิยมจริงๆ

แน่นอน ถ้ามองแบบนี้อังกฤษเห็นแก่ตัวมากในการเขียนดีลวัคซีนแบบนี้ แต่ชาวอังกฤษผู้ทำการ Brexit ก็คงจะมองนี่เป็นคำชมมากกว่าคำด่า เพราะนี่คือเหตุผลที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป เนื่องจากอังกฤษต้องการจะทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของยุโรป

วัคซีนที่คิดค้นโดยอังกฤษ เพื่อชาวอังกฤษ

นี่คือวิธีคิดดีลวัคซีนพื้นฐานของอังกฤษ และอังกฤษเองมีแผนการฉีดวัคซีนด้วย AstraZeneca อยู่แล้ว เพราะนี่คือวัคซีนที่อังกฤษคิดค้นเอง ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากอเมริกาที่ตั้งตาจะฉีด Pfizer เป็นหลัก เพราะนั่นคือสิ่งที่ผลิตโดยบริษัทอเมริกัน

ถ้าจำได้ ด้วยความเป็นชาติพ่อค้า AstraZeneca เป็นบริษัทแรกๆ ที่ไปทำดีลกับโรงงานผลิตวัคซีนทั่วโลก เพื่อให้ทั่วโลกระดมผลิต AstraZeneca ที่อังกฤษมองว่าจะเป็นวัคซีนหลักของประเทศรายได้ปานกลางถึงต่ำ เพราะต้นทุนถูกกว่าพวก mRNA และผลิตง่ายกว่า รวมถึงเก็บรักษาและขนส่งง่ายกว่าด้วย ใส่ตู้เย็นธรรมดาก็พอ ไม่ต้องมีตู้แช่เฉพาะ

แต่เมื่อถึงจังหวะผลิตวัคซีนจริง ก็แน่นอน มีความตะกุกตะกักไปหมด เริ่มผลิตได้ช้า ผลิตก็ผลิตไม่ได้ตามที่กำหนด (ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล ดูบ้านเราก็ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงงานผลิต AstraZeneca ในยุโรปก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไร) ซึ่งผลก็คือบริษัทที่ผลิตวัคซีนก็ต้องเลือกว่าจะส่งวัคซีนให้ประเทศไหนดี

ตรงนี้ กลับมาที่ดีล ชาติยุโรปไม่มีโทษชัดเจนสำหรับการผลิตวัคซีนได้ไม่ตามเป้า แค่ให้เฉลี่ยวัคซีนที่จะส่งได้ต่ำกว่าเป้าไปในทุกประเทศในสหภาพยุโรป แต่อังกฤษคาดโทษชัดเจนว่าส่งไปไม่ตามเป้านี่จะมีโทษสถานหนัก

ก็ไม่ต้องเดา ทุกโรงงานเลือกที่จะเบี้ยวส่งวัคซีนให้สหภาพยุโรป แต่ส่งตามจำนวนให้อังกฤษ

การเมืองเรื่องวัคซีน

ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดก็ง่ายๆ แค่นี้เอง เหตุผลที่อังกฤษได้ฉีดวัคซีนก่อนยุโรปแทบทั้งทวีป

แต่ถามว่าโชคช่วยยุโรปไหม? คำตอบก็คือก็อาจจะเพราะในไตรมาสที่ 2 ปี 2021 เมื่ออเมริกาเริ่มฉีดวัคซีนในประเทศเพียงพอ อเมริกาก็ส่ง Pfizer ไปยุโรปได้มากขึ้น และผลวิจัยต่างๆ ก็มาหนุนมากขึ้นว่าวัคซีน mRNA นี่ดีกว่าวัคซีน Viral Vector อย่าง AstraZeneca

ซึ่งเมื่อประกอบกับการพบว่า AstraZeneca อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดลิ่มเลือดในคนอายุน้อย ชาติยุโรปไม่น้อยก็เลยเท” AstraZeneca ซะเลย ไม่ฉีดมันแล้ว ส่งช้าดีนัก

และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมหลายๆ ชาติถึงคิดสูตรผสมวัคซีน AstraZeneca+Pfizer ขึ้น แน่นอนเหตุผลส่วนหนึ่งก็แน่นอนคือเรื่องผลข้างเคียงในคนอายุน้อย แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันก็คือโรงงานผลิต AstraZeneca ในยุโรปเองส่งวัคซีนช้าและไม่ตามเป้ามายาวนาน ก็ทำให้หลายชาติเบื่อกับพฤติกรรมแบบนี้ โดยเฉพาะถ้ามีตัวเลือกเป็นวัคซีน mRNA ของฝั่งอเมริกาเพิ่ม

ทั้งหมดนี้ ที่อยากจะเล่าก็คือ บางทีตัวเลือกวัคซีนไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์รวมๆ แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงการเมืองระหว่างประเทศ ความสามารถในการผลิตวัคซีนจริงๆ รวมถึงจารีตและจริตการร่างสัญญาของแต่ละชาติด้วย

และกรณีนี้ก็บอกเลยว่า อังกฤษได้วัคซีนก่อนชาวบ้านเพราะ Brexit เน้นๆ!

อ้างอิง