ทำไม ‘อังกฤษ’ ถึงเป็นชาติยุโรปเดียวที่ใช้ AstraZeneca เป็นวัคซีนหลัก และฉีดได้เร็วกว่าประเทศอื่น?
Select Paragraph To Read
- ดีลวัคซีนแบบ Brexit ที่ไร้พันธะจาก EU
- วัคซีนที่คิดค้นโดยอังกฤษ เพื่อชาวอังกฤษ
- การเมืองเรื่องวัคซีน
อังกฤษถือเป็นชาติตะวันตกที่ฉีดวัคซีนไปเยอะมาก และน่าจะเป็นชาติแรกในโลกที่มีประชากรระดับเกิน 50 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 2 เข็มเกิน 70% ของประชากร
และก็ไม่แปลกที่อังกฤษตัดสินใจ “ยุติล็อกดาวน์อย่างสมบูรณ์” เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา
ต้องยอมรับว่าอังกฤษฉีดวัคซีนได้เยอะและเร็วจริงๆ ถ้าเทียบกับปริมาณประชากร
ถามว่าอังกฤษทำแบบนี้ได้อย่างไร? ต้องอธิบายกันยาวหน่อย…
ดีลวัคซีนแบบ Brexit ที่ไร้พันธะจาก EU
ประการแรก เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันก่อน วัคซีนที่อังกฤษฉีดเป็นหลักให้ประชากรแทบทั้งหมด คือ AstraZeneca แบบเดียวกับที่ควรจะฉีดในบ้านเรา
ถ้าเป็นไปตามแผนแต่แรก นี่คือไอเดียของอังกฤษเลย เพราะถ้าไปดูวัคซีนที่อังกฤษอนุมัติมีหลายตัว แต่ตัวที่ฉีดหลักคือ AstraZeneca
แล้วทำไมอังกฤษฉีดได้ บ้านเขาผลิตวัคซีนได้เยอะเหรอ?
นี่แหละเรื่องที่น่าสนใจ เพราะจริงๆ อังกฤษผลิตวัคซีนได้แค่ 20% ของวัคซีนที่ฉีดเท่านั้น ที่เหลือ 80% คือ “นำเข้า” โดยในวัคซีนที่นำเข้า 20% มาจากอินเดีย อีก 80% คือมาจากสหภาพยุโรป
หรือพูดง่ายๆ วัคซีนที่ฉีดในอังกฤษแทบทั้งหมด นำเข้ามาจากสารพัดโรงงานผลิตวัคซีนในสหภาพยุโรป ที่ไปทำสัญญาผลิตให้ AstraZeneca เหมือน SiamBioscience บ้านเรา
คำถามคือ อังกฤษมีประชากรไม่น้อย (ราว 56 ล้านคน) ทำไมถึงมีวัคซีนฉีดก่อนชาวบ้าน?
เพราะดูประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะน้อยใหญ่ในยุโรป ส่วนใหญ่ฉีดได้ราวๆ 40% เศษๆ เท่านั้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2021 คือฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ยันกรีซนี่ฉีดได้พอๆ กันหมด มีแต่อังกฤษเท่านั้นที่ฉีดวัคซีนได้เกือบ 70%
สาเหตุเพราะชาติยุโรปนั้นดีลวัคซีนในฐานะ “สหภาพยุโรป” ซึ่งสปิริตคือ แต่ละชาติต้องได้วัคซีนเท่าๆ กันไปตาม “สัดส่วนประชากร”
คือถ้าวัคซีนขาดส่ง ก็ต้องเฉลี่ยกันไปตามประชากร ดังนั้นจะ “ฉีดไปพร้อมๆ” กัน และเรียกได้ว่านี่คือสปิริตของภูมิภาคแท้ๆ ที่น่าทึ่งระดับน่าขนลุก เพราะเห็นเลยว่าวิกฤตขนาดนี้ “ประชาคมยุโรป” ก็ยังไม่ทอดทิ้งกัน ชาติที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแบบเยอรมนีก็ได้ฉีดวัคซีนไปพร้อมกับชาติที่เศรษฐกิจล้มลุกคลุกคลานแบบกรีซ
แต่…อังกฤษไม่ต้องการจะ “เคียงบ่าเคียงไหล่” กับชาติยุโรป และก็ทำการ Brexit ออกจากสหภาพยุโรปก่อนโควิดแล้ว และก็แน่นอน เมื่อเกิดโควิด ดีลวัคซีนของอังกฤษก็เป็นดีลแยกที่ต่างจากดีลของสหภาพยุโรปรวมๆ
ในขณะที่ดีลสหภาพยุโรปรวมๆ มีลักษณะแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เขียนเอาไว้ว่าถ้าบริษัทผลิตวัคซีนส่งไม่ทันก็ให้ตัดการส่งทุกประเทศเท่าๆ กันตามสัดส่วนประชากรเพื่อความยุติธรรมกับทุกชาติ
แต่ดีลของอังกฤษเขียนว่า ถ้าบริษัทส่งวัคซีนไม่ทัน ก็ต้องไปตัดโควตาชาติอื่นๆ มาส่ง ไม่งั้นจะโดนโทษหนัก เรียกได้ว่าเขียนสมเป็นชาติพ่อค้าผู้ให้กำเนิดทุนนิยมจริงๆ
แน่นอน ถ้ามองแบบนี้อังกฤษ “เห็นแก่ตัว” มากในการเขียนดีลวัคซีนแบบนี้ แต่ชาวอังกฤษผู้ทำการ Brexit ก็คงจะมองนี่เป็น “คำชม” มากกว่าคำด่า เพราะนี่คือเหตุผลที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป เนื่องจากอังกฤษต้องการจะทำเพื่อ “ผลประโยชน์ของชาติ” มากกว่า “ผลประโยชน์ของยุโรป”
วัคซีนที่คิดค้นโดยอังกฤษ เพื่อชาวอังกฤษ
นี่คือวิธีคิดดีลวัคซีนพื้นฐานของอังกฤษ และอังกฤษเองมีแผนการฉีดวัคซีนด้วย AstraZeneca อยู่แล้ว เพราะนี่คือวัคซีนที่อังกฤษ “คิดค้น” เอง ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากอเมริกาที่ตั้งตาจะฉีด Pfizer เป็นหลัก เพราะนั่นคือสิ่งที่ “ผลิต” โดยบริษัทอเมริกัน
ถ้าจำได้ ด้วยความเป็นชาติพ่อค้า AstraZeneca เป็นบริษัทแรกๆ ที่ไปทำดีลกับโรงงานผลิตวัคซีนทั่วโลก เพื่อให้ทั่วโลกระดมผลิต AstraZeneca ที่อังกฤษมองว่าจะเป็นวัคซีนหลักของประเทศรายได้ปานกลางถึงต่ำ เพราะต้นทุนถูกกว่าพวก mRNA และผลิตง่ายกว่า รวมถึงเก็บรักษาและขนส่งง่ายกว่าด้วย ใส่ตู้เย็นธรรมดาก็พอ ไม่ต้องมีตู้แช่เฉพาะ
แต่เมื่อถึงจังหวะผลิตวัคซีนจริง ก็แน่นอน มีความตะกุกตะกักไปหมด เริ่มผลิตได้ช้า ผลิตก็ผลิตไม่ได้ตามที่กำหนด (ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล ดูบ้านเราก็ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงงานผลิต AstraZeneca ในยุโรปก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไร) ซึ่งผลก็คือบริษัทที่ผลิตวัคซีนก็ต้อง “เลือก” ว่าจะส่งวัคซีนให้ประเทศไหนดี
ตรงนี้ กลับมาที่ดีล ชาติยุโรปไม่มีโทษชัดเจนสำหรับการผลิตวัคซีนได้ไม่ตามเป้า แค่ให้เฉลี่ยวัคซีนที่จะส่งได้ต่ำกว่าเป้าไปในทุกประเทศในสหภาพยุโรป แต่อังกฤษคาดโทษชัดเจนว่าส่งไปไม่ตามเป้านี่จะมีโทษสถานหนัก
…ก็ไม่ต้องเดา ทุกโรงงานเลือกที่จะ “เบี้ยว” ส่งวัคซีนให้สหภาพยุโรป แต่ส่งตามจำนวนให้อังกฤษ
การเมืองเรื่องวัคซีน
ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดก็ง่ายๆ แค่นี้เอง เหตุผลที่อังกฤษได้ฉีดวัคซีนก่อนยุโรปแทบทั้งทวีป
แต่ถามว่า “โชคช่วย” ยุโรปไหม? คำตอบก็คือ “ก็อาจจะ” เพราะในไตรมาสที่ 2 ปี 2021 เมื่ออเมริกาเริ่มฉีดวัคซีนในประเทศเพียงพอ อเมริกาก็ส่ง Pfizer ไปยุโรปได้มากขึ้น และผลวิจัยต่างๆ ก็มาหนุนมากขึ้นว่าวัคซีน mRNA นี่ “ดีกว่า” วัคซีน Viral Vector อย่าง AstraZeneca
ซึ่งเมื่อประกอบกับการพบว่า AstraZeneca อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดลิ่มเลือดในคนอายุน้อย ชาติยุโรปไม่น้อยก็เลย “เท” AstraZeneca ซะเลย ไม่ฉีดมันแล้ว ส่งช้าดีนัก
และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมหลายๆ ชาติถึงคิดสูตรผสมวัคซีน AstraZeneca+Pfizer ขึ้น แน่นอนเหตุผลส่วนหนึ่งก็แน่นอนคือเรื่องผลข้างเคียงในคนอายุน้อย แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันก็คือโรงงานผลิต AstraZeneca ในยุโรปเองส่งวัคซีนช้าและไม่ตามเป้ามายาวนาน ก็ทำให้หลายชาติเบื่อกับพฤติกรรมแบบนี้ โดยเฉพาะถ้ามีตัวเลือกเป็นวัคซีน mRNA ของฝั่งอเมริกาเพิ่ม
ทั้งหมดนี้ ที่อยากจะเล่าก็คือ บางที “ตัวเลือกวัคซีน” ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์รวมๆ แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงการเมืองระหว่างประเทศ ความสามารถในการผลิตวัคซีนจริงๆ รวมถึงจารีตและจริตการร่างสัญญาของแต่ละชาติด้วย
และกรณีนี้ก็บอกเลยว่า อังกฤษได้วัคซีนก่อนชาวบ้านเพราะ Brexit เน้นๆ!
อ้างอิง
- The Conversation. Did the UK outsmart the EU over AstraZeneca vaccines? https://bit.ly/3kFs4d6
- NPR. It’s The Vaccine That’s Lost A Lot Of Trust. But AstraZeneca Still Has Its Fans.https://n.pr/3BzIWrM
- Politico. How the UK gained an edge with AstraZeneca’s vaccine commitments. https://politi.co/3hRUoXG