ความกล้า – ความมั่นใจ ผลักดันให้ ‘Tsunari’ แรปเปอร์สาวชาวโคราช ลุยทำตามฝันไกลถึงอังกฤษ

6 Min
775 Views
16 Nov 2021

Select Paragraph To Read

  • ‘สุนารี’ ชื่อนี้มาจากไหน ใครเป็นคนแต่งให้
  • ลองนิยามความเป็นสุนารีให้ฟังหน่อย
  • เริ่มคุยเรื่องความฝันกับที่บ้านตอนไหน
  • มีแนวเพลงที่คุณใช้ประกวดเป็นประจำไหม
  • ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบที่คุณคาดคิดไว้ไหม
  • จะบอกว่าสังคมนี้มีกรอบความสวยงามบางอย่างใช่ไหม
  • อะไรทำให้ตัดสินใจไปกรุงลอนดอน
  • ทำไมต้องเป็นลอนดอน
  • ตอนที่ย้ายไปลอนดอนใหม่ๆ เป็นอย่างไรบ้าง
  • ตอนนั้นมีความฝันอะไรบ้าง
  • เคยคิดไหมว่าถ้าไม่ไปลอนดอนแล้ว จะไม่เป็นสุนารีแบบทุกวันนี้
  • อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กลายเป็นสุนารีอย่างทุกวันนี้
  • ตอนนั้นคิดไหมว่าจะได้เป็นศิลปิน
  • อธิบายความรู้สึกแรกหลังเป็นศิลปินให้ฟังหน่อย
  • คิดว่าแนวเพลงของสุนารีเป็นแบบไหน
  • แต่ละบทเพลงคุณมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน
  • ถ้าให้ย้อนกลับไปมองเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
  • ตอนนี้คุณใช้ชีวิตด้วยความเชื่อแบบไหน และมีความสุขไหม
  • สุดท้ายนี้อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังมีความฝัน แต่ยังไม่มีโอกาส

หากพูดถึงศิลปินที่น่าจับตามอง มากความสามารถ และมีสไตล์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร แถมยังดังไปไกลถึงต่างแดน จะไม่เอ่ยชื่อ ‘สุนารี’ หรือ ‘Tsunari’ แรปเปอร์ชาวโคราช สาวลูกครึ่งสายเลือดไทย-ตรินิแดด คนนี้คงเป็นไม่ได้

ด้วยเรื่องราวเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจ จากสุนารีคนธรรมดาที่มีความกล้าและความมั่นใจ ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่สน ขอมุ่งทำความฝันให้สำเร็จ ยอมห่างไกลบ้านเกิดและครอบครัว ไปใช้ชีวิตคนเดียวในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นานกว่า 7 ปี จนมีผลงานเพลงให้ติดตามมากมาย

วันนี้เราอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักตัวตนของเธอที่แท้จริงให้มากขึ้น ว่าแรปเปอร์สาวคนนี้มีเส้นทางชีวิตอย่างไร อุปสรรคเยอะขนาดไหน กว่าจะมาเป็นศิลปินระดับอินเตอร์อย่างในปัจจุบัน

‘สุนารี’ ชื่อนี้มาจากไหน ใครเป็นคนแต่งให้

สุนารี เป็นชื่อกลางของเรา หลายคนอาจจะคิดว่าคุณแม่เป็นคนไทยตั้งให้ แต่จริงๆ แล้วคุณพ่อเป็นตั้งให้ เพราะตอนที่ทั้งคู่แต่งงานกันใหม่ๆ แม่ชอบฟังเพลงของคุณสุนารี ราชสีมา

เมื่อก่อนเราจะไม่ค่อยชอบ เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยเข้ากับชื่อแรกและนามสกุล แต่พอโตขึ้นก็รู้สึกว่าคนชื่อสุนารีในประเทศไทยนั้นไม่ค่อยมี ต่างประเทศยิ่งไม่มี ก็กลายเป็นชอบชื่อนี้ไปเลย

ลองนิยามความเป็นสุนารีให้ฟังหน่อย

เป็นผู้หญิงสู้ มีความอดทนสูง รักการผจญภัย รักในเสียงเพลง รักการมีเป้าหมาย และพร้อมทำเป้าหมายให้ดีที่สุด โดยเป้าหมายในด้านงานเพลงคือ อยากทำเพลงสู่ระดับอินเตอร์ และออกทัวร์คอนเสิร์ต

ความฝันนี้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่เด็กๆ อายุประมาณ 5 – 6 ขวบ ตอนนั้นกำลังดูศิลปินบนจอทีวี เราเห็นเขาได้ร้องเพลง มันคล้ายกับเวทมนตร์วิเศษทำให้เราหลงใหลว่า สักวันหนึ่งอยากทำให้ได้ อยากเป็นให้ได้เหมือนเขา แต่เป็นเราในแบบตัวเรา

ตอนนั้นที่เราอยากเป็นศิลปินแต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะคุณพ่อค่อนข้างซีเรียส เขาอยากให้เป็นนักวิทยาศาสตร์มากกว่า เราก็พยายามเต็มที่แล้วแต่มันไม่ใช่ เราไม่ชอบ ไม่มีความสุข

เริ่มคุยเรื่องความฝันกับที่บ้านตอนไหน

เราคุยตอนอายุ 13 ปี ซึ่งคุณแม่พยายามสนับสนุนแบบกลางๆ เขาไม่ให้ทิ้งการเรียน แต่พ่อที่พอรู้ก็รีบดับความคิดนั้นทันที จนจำประโยคที่พ่อบอกได้จนถึงปัจจุบันว่า ความฝันที่จะเป็นศิลปินยากนะ เพราะมีผู้หญิงที่เหมือนเรา เก่งเท่าเราอีกล้านๆ คนที่มีความฝันอยากจะทำเหมือนเรานะ ก็เลยรู้สึกว่า ขนาดพ่อยังไม่เชื่อในตัวเราเลย แต่ความที่เราดื้อ ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันตัวเองถึงทุกวันนี้

หลังจากที่พ่อบอกตอนนั้น ก็ค่อยๆ เข้าร่วมงานประกวดมาเรื่อยๆ ทั้งงานเวทีเล็ก เวทีใหญ่ ตั้งแต่ระดับอำเภอ ยันระดับประเทศ ประกวดจนนับไม่ถ้วน ส่วนมากไม่ชนะด้วย มีตกรอบบ้าง ได้รางวัลที่ 2 ที่ 3 บ้าง แต่ตอนนั้นคิดแค่ว่ามันเป็นการฝึกฝน ให้เราเก่งขึ้น ตื่นเต้นน้อยลง อีกอย่างมีโอกาสเมื่อไหร่ เราก็คว้าทุกโอกาสที่เข้ามา

มีแนวเพลงที่คุณใช้ประกวดเป็นประจำไหม

ตอนนั้นเราใช้เพลงสายดีว่า (Diva) ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเหมาะ หรือไม่เหมาะ แล้วค่อยขยับมาเป็นเพลงไทย เพลงลูกทุ่งมาใช้ตอนท้ายๆ เลย แต่ตอนนี้ก็มีสายเป็นของตัวเองแล้วไม่ค่อยดีว่าเท่าไหร่ เพราะเราค้นพบตัวเองว่าชอบแนวไหน แนวอะไรถึงเหมาะกับเรา และเข้ากับจิตวิญญาณของเราที่สุด ตอนนี้เจอแล้ว

ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบที่คุณคาดคิดไว้ไหม

เวลาที่เราไปประกวดเวทีใหญ่หรือมีคนในวงการเข้ามาเกี่ยวข้องก็มีความหวังอยู่ แต่บางครั้งก็รู้อยู่แล้วว่ากรรมการต้องการอะไร เลยทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมเขาไม่เปิดโอกาสที่ทุกคนเคยชินบ้าง ทำไมต้องผอมขาว หรือตี๋หมวยอย่างเดียว ทั้งๆ ที่เราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ก็ได้ยินเสียงตอบรับในแบบเดียวกันหมด เช่น ลุคเราทำอะไรไม่ได้ ถ้าร้องเพลงเพราะอย่างเดียวไม่ได้ ต้องขายสวยมากกว่านี้ แต่ตอนนี้มันก็แตกต่างจากอดีตมาก เพราะโลกเปิดกว้างมากขึ้น และมีโซเชียลมีเดียเข้ามา

จะบอกว่าสังคมนี้มีกรอบความสวยงามบางอย่างใช่ไหม

วงการบันเทิง วงการเพลง มันมีกรอบที่เรียกว่า บิวตี้ สแตนดาร์ด (ฺBeauty Standard) ศิลปินต้องสวยในแบบไทย ถ้าไม่สวยแบบนั้นบทบาทที่ได้ก็จะเป็นแค่ตลก ไม่ซีเรียสจริงจัง เราเลยคิดว่าถ้าออกจากประเทศไทยแล้ว คนที่ไม่ขาว ไม่ได้สวยแบบนั้น ก็จะมีโอกาสให้พวกเขาได้

ตอนอยู่ประเทศไทยเราเจอตลอด ตั้งแต่เข้าวงการ หรือร้องเพลงตามร้าน พวกเขาหัวเราะเหมือนเป็นตัวตลก ทั้งๆ ที่เราแค่รูปลักษณ์เป็นแบบนี้ กล้าแต่งตัวแบบนี้

อะไรทำให้ตัดสินใจไปกรุงลอนดอน

จุดที่อยากหาโอกาส ตอนที่มีคนเคยบอกว่าขายไม่ออกถือเป็นประโยคที่ตัดสินใจ เพราะเราจะอยากทำให้ทุกคนว่าเราทำได้ และอีกอย่างคืออยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ให้เขาเห็นว่าเราทำได้ คนอื่นก็ทำได้ อย่าไปฟังคนรอบข้างว่าเราไม่อยู่ในกรอบของ บิวตี้ สแตนดาร์ด

เราบอกแม่ 3 เดือนก่อนที่จะตัดสินใจไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก็ห่วงเหมือนกันว่าเขาจะให้ไปหรือเปล่า แต่เอาจริงๆ ถ้าเขาไม่ให้ไป เราก็จะไปอยู่ดี แต่สุดท้ายก็แอบตกใจที่แม่บอกให้ไปเลย แม่สนับสนุน เพราะเราเจออะไรมาเยอะจนไม่ไหวแล้ว พยายามอย่างสุดขีดแล้ว ที่นี่ก็ยังไม่ใช่ ดังนั้นไปดีกว่า ทั้งที่ไม่รู้จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน

จากนั้นเราเริ่มเก็บเงินสักพักประมาณ 6 – 7 เดือน ก็ค่อยเดินทางไปลอนดอน คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปว่ากันเอาดาบหน้า เราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถ้าไม่ได้มาหรือไม่ได้ลองทำตามความฝันจริงๆ จะรู้สึกเสียดาย ยังไงก็ต้องไปลอนดอน

เราว่ามันก็จริง แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน จริงที่ว่าถ้าพยายามให้มากที่สุดจะมีจุดยืน แต่ตัวเราไม่อยากยึดติดกับภาพลักษณ์ที่เขาวางให้ต้องมีหรือต้องเป็น เราไม่ชอบจะอยู่ในกรอบที่ให้คนคิดว่าลูกครึ่งต้องเป็นแบบนี้นะ เราอยากให้เท่าเทียมกันหมด

มีมุมมองอย่างไรต่อ บิวตี้ สแตนดาร์ด ที่อาจจะทำลายชีวิต และความฝันของใครหลายคน

สังคมเรามีกรอบบิวตี้มานานหลายปี แต่โลกปัจจุบันมันมีการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนตลอดเวลา จึงควรที่จะเปิดหัวใจรับสิ่งใหม่ๆ ไม่แน่ว่าสิ่งที่อาจจะผิดเพี้ยนในสายตาใครบางคน อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกเราก็ได้ ซึ่งน่าเสียดายมากถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ควรเปิดใจยอมรับได้แล้ว เปิดโอกาส เปิดสิ่งใหม่ๆ อย่างรูปลักษณ์ ความสามารถที่แตกต่างให้เข้ามามากขึ้น

เราเชื่อว่ามีคนเก่ง คนมีความสามารถเยอะมาก หนึ่ง เขาอาจจะขาดโอกาส สอง เขาอาจจะไม่มีความไม่มั่นใจ เพราะกลัวโดนคนมาตัดสินเขา เพราะถ้าย้อนกลับไปตอนเราอยู่โคราช เราเคยโดนบูลลี่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คิดว่าเราแตกต่าง หรือมีปัญหาอะไร แต่วันแรกที่เข้าไปเรียนก็โดนเรียกด้วยคำไม่ดี ก็กลับมาร้องไห้เล่าให้คุณแม่ฟัง เราถูกทำลายความมั่นใจให้ไม่กล้าแสดงออก หรือพูดคุยกับใคร เหมือนเป็นแกะดำในฝูงแกะขาว มีแต่คนคอยจับผิด ซึ่งเราไม่ค่อยโอเค รู้สึกว่าไม่แฟร์

การโดนปฏิเสธ ทั้งการทำเพลง การเข้าสังคม เพราะความแตกต่างของเรา แต่เราก็ไม่ได้เอามาเป็นเครื่องทำลายตัวเองให้เสียใจ หรือจมอยู่กับมัน เพราะเราใช้เป็นเชื้อเพลิงเติมไฟผลักดันให้ก้าวผ่าน แล้วโฟกัสกับสิ่งที่ชอบ

จริงๆ เราขอบคุณอดีตที่ทำให้แข็งแกร่งมาจนทุกวันนี้ จากการเจอสิ่งที่เลวร้ายในเหมือนก่อน จนทำให้เป็นเราในปัจจุบันที่มีความกล้า และความพยายามมากขึ้น

ทำไมต้องเป็นลอนดอน

เราเกิดที่อังกฤษ มีพาสปอตอยู่แล้ว สามารถอยู่ยาวได้เลย และคิดว่ามีโอกาสที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ที่นี่มีคนจากหลายประเทศมารวมตัวกัน โดยความแตกต่างจะเป็นจุดขายที่ดีให้เราได้ทำสิ่งต่างๆ มากกว่าประเทศไทย ที่ไม่มีโอกาสได้ทำ

ตอนที่ย้ายไปลอนดอนใหม่ๆ เป็นอย่างไรบ้าง

อากาศไม่อ่อนโยนเลย หนาวมาก เพราะเราเคยชินแต่อากาศร้อนๆ ที่เมืองไทย พออากาศหนาว คนในลอนดอนเขาก็จะตึงๆ เครียดๆ

ช่วง 3 เดือนแรกทรหดอยู่ เป็นการเริ่มต้นจากศูนย์เลย ต้องปรับตัวบรรยากาศ สังคมใหม่ๆ ย้ายมาเพื่อทำเพลง แต่ต้องอยู่บนโลกความเป็นจริง ค่าใช้จ่ายที่ต้องทำให้อยู่รอดด้วย ก่อนจะไปถึงความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเราเรียนอย่างเดียวมาตลอด ไม่เคยทำงานมาก่อน พอมาที่นี่เราต้องเสิร์ฟในร้านอาหาร แจกหนังสือพิมพ์ กระทั่งงานเอ็กซ์ตร้า แดนเซอร์ ตลอดจนนางเอกในเอ็มวี มีเขียนเพลง เดโมให้คนอื่นบ้าง ทำทุกวิถีทางเพื่อให้อยู่รอด

ตอนนั้นมีความฝันอะไรบ้าง

ตอนนั้น 95 เปอร์เซ็นต์ เราทำงานเพื่อให้มั่นคงไว้ก่อน พอหลังจาก 3 เดือนแรกก็ค่อยๆ พบปะผู้คนมากขึ้น ร้องเพลง ออดิชั่น แล้วลุยการทำตามความฝันด้านการทำเพลง ทำมาโดยที่ไม่มีใคร ไม่มีเพื่อน ถึงแม้จะเหนื่อย จะเหงา แต่ไม่มีวันไหนที่ท้อเลย เพราะเราสู้ตาย

เคยคิดไหมว่าถ้าไม่ไปลอนดอนแล้ว จะไม่เป็นสุนารีแบบทุกวันนี้

ส่วนใหญ่คนอื่นมักจะมีแผน A แผน B แต่เรามีแผน A อย่างเดียวเลย ไม่มีแผน B มันเลยทำให้เราสู้สุดโต่ง ต้องทุ่มเท มุ่งมั่นกับแผนเดียวที่เรามี จะขี้เกียจไม่ได้ ห้ามหยุด ห้ามท้อ และที่สำคัญมันทำให้เราไม่เคยคิดเลยว่าจะไม่สำเร็จ

อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กลายเป็นสุนารีอย่างทุกวันนี้

จุดเปลี่ยนที่ชัดเจนสุดคือ ตอนตัดสินใจย้ายมาลอนดอน ทำให้เราโตขึ้นทั้งด้านการคิด ด้านการใช้ชีวิต หลังจากย้ายมาลอนดอนประมาณเดือนที่ 8 ก็มาเจอผู้จัดการผ่านเว็บไซต์ที่สามารถอัปโหลดความสามารถของเราขึ้นไป ให้มีคนมาติดต่อ จนผู้จัดการก็ส่งข้อความมาหาเราให้ไปออดิชั่น เพราะเขาอยากจะสนับสนุน

ตอนนั้นคิดไหมว่าจะได้เป็นศิลปิน

เราใช้เวลาอยู่ 2 ปี ในการพัฒนาทุกอย่างในด้านการเป็นศิลปินให้มากขึ้น ก่อนจะเริ่มโพสต์โคฟเวอร์ (Cover) รีมิกซ์ (Remix) เพลงต่างๆ ตอนนั้นก็มีเข้าแคมป์ เขียนเพลง อัดเสียงหลายสตูดิโอ ทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์หลายคน เปิดเพลงให้เขาฟังว่าอยากร่วมงานด้วยกันไหม จนประมาณ 3 ปีครึ่งก็ได้มาทำเพลงจริงๆ จังๆ

อธิบายความรู้สึกแรกหลังเป็นศิลปินให้ฟังหน่อย

หลังเพลงแรกที่ปล่อย ก็รู้สึกว่าถึงจุดที่เราได้ก้าวไปอีกโลกหนึ่งแล้ว ตื่นเต้น เหมือนพอก้าวข้ามทุกอย่างที่ผ่านมา รู้สึกคุ้มค่า โชคดีมากที่มาถึงจุดนี้สักที ถึงแม้จะเป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ก็มีกำลังใจ มีพลังก้าวต่อไป

เพราะเราคิดว่าเราไม่ได้เทียบกับใคร เนื่องจากเวลา โอกาส จังหวะของแต่ละคนมันแตกต่างกันไป แต่สำหรับตัวเรามองว่าเป็นช่วงเวลาที่เบ่งบาน โอเคแล้ว อยากโฟกัสแค่เป้าหมายสิ่งที่อยากทำก็พอ จะช้า จะเร็ว ช่างมัน แค่ตั้งใจแล้วทำให้ได้พอ

คิดว่าแนวเพลงของสุนารีเป็นแบบไหน

เราโตมาจากเพลงลูกทุ่ง ป๊อป อาร์แอนด์บี มาจากหลายๆ ที่ เลยเอาแนวเพลงต่างๆ ที่มีความน่าสนใจผสมผสานกัน แต่จะมีกลิ่นอายความเป็นไทยปะปนรวมอยู่ด้วย ซึ่งพยายามสร้างสรรค์ให้เกิดความแปลกใหม่ออกมา

แต่ละบทเพลงคุณมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน

ทุกๆ เพลง เราเขียนเพลงเองหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ เราชอบเอาประสบการณ์ในชีวิตจริงมาใส่ไว้ในบทเพลง เพราะเราอยากเล่าเรื่องส่วนตัวออกมา เพื่อต้องการสื่อสารความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ทุกคนได้ฟัง

ถ้าให้ย้อนกลับไปมองเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

ถ้าให้ย้อนกลับไปมองเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

ขอบคุณที่ตัวเองได้ผลักดันตัวเองมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าเรื่องที่เคยเจอ จะเบาหรือหนักหนาสาหัสแค่ไหนแต่ก็ผ่านมาได้ ชีวิตหนึ่งเกิดมามีโอกาสได้ทำสิ่งต่างๆ ได้ทำตามความฝัน และรู้สึกดีมากๆ ที่เป็นส่วนหนึ่ง เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน

ตอนนี้คุณใช้ชีวิตด้วยความเชื่อแบบไหน และมีความสุขไหม

เราเชื่อว่าเกิดมาแล้วมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้ามีความฝันแล้วไม่ทำวันนี้ ไม่เสี่ยงทำวันนี้ ในอนาคตจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายที่ไม่ได้ลงมือทำ เพราะไม่รู้ว่าชาติหน้ามีจริงไหม ตอนนี้เราก็มีความสุขกับชีวิตตัวเอง ถึงแม้ไม่ได้ดัง หรือรวยมหาศาล แต่เราแค่อยากใช้ชีวิตในปัจจุบัน มีความสุขกับทุกๆ สิ่งที่อยากทำในชีวิต

สุดท้ายนี้อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังมีความฝัน แต่ยังไม่มีโอกาส

อยากให้เชื่อมั่นในตัวเอง ถึงคนรอบข้างจะไม่เชื่อมั่นใจในตัวเราก็ตาม

และสามารถรับชมเรื่องราวของสุนารี (Tsunari) สาวโคราชสุดต๊าช กันแบบเต็มๆ ได้ที่: https://youtu.be/alba5JrUHjY