3 Min

ทำไมยิ่งทำสงครามการค้า อเมริกาก็ยิ่งเสียดุลให้จีน?

3 Min
367 Views
19 Nov 2021

เราคงได้ยินเรื่อง “สงครามการค้า” ของอเมริกากับจีนมาบ้างแล้ว ถึงเราไม่สนใจเรื่องนี้ ผลกระทบมันก็กระจายไปทั่วโลกแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ซึ่งบ้านเราก็ได้รับผลกระทบในทางบวกไปบ้างไม่น้อยเหมือนกัน เพราะมันทำให้ทั้งอเมริกาและจีนที่ปฏิเสธสินค้าของกันและกัน หันมาซื้อสินค้าบางประเภทของเรามากขึ้น

แล้วทำไมต้องทำสงครามการค้า? นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อน อธิบายอย่างง่ายที่สุดก็คือ Donald Trump มองว่าอเมริกานั้น “เสียดุลการค้า” ให้กับจีนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กล่าวคืออเมริกานำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าส่งออกสินค้าไปจีน Trump มองว่านี่เป็นการทำให้เงินไหลออกไปสู่ชาติคู่อริมากเกินไปแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่างเลยประกาศ “สงครามการค้า” ซึ่งในทางปฏิบัติก็คือการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจีน เพื่อกดดันจีนให้ทำข้อตกลงการค้ากับอเมริกาใหม่ เพื่อให้อเมริกาเสียเปรียบน้อยลง อย่างไรก็ดีจีนมีหรือจะยอมง่าย ๆ จีนก็โต้กลับเช่นกันด้วยการประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากอเมริกาเช่นกัน

ที่อเมริกาทำแบบนี้ ฐานคิดก็คือว่าอเมริกาเป็นชาติที่นำเข้าสินค้าจากจีนมหาศาล ถ้าตั้งกำแพงภาษีปุ๊บ ภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกของจีนทั้งหลายก็จะเสียหายหนักแน่ ๆ และจีนก็ต้องยอมในที่สุด

ซึ่งนี่ก็มีส่วนจริง ๆ เพราะหลังจากสงครามการค้า ภาคการส่งออกของจีนก็ย่ำแย่พอสมควร

แต่มันหักมุมเล็กน้อย เพราะในขณะที่ภาคการส่งออกของจีนย่ำแย่ลง อเมริกากลับย่ำแย่ลงกว่า หรือพูดอีกแบบ ผลของสงครามการค้า มันทำให้ส่วนต่างของการนำเข้าสินค้าจากจีนของอเมริกา กับการส่งออกสินค้าไปจีนของอเมริกาดันกว้างขึ้นกว่าเดิมอีก พูดในศัพท์เทคนิคก็คือ อเมริกาขาดดุลการค้าให้จีนมากกว่าเดิม

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? อธิบายง่าย ๆ คือ ในขณะที่สินค้าที่อเมริกานำเข้าจากจีนที่มากเป็นพิเศษเป็นสินค้าที่จีนผลิตได้เท่านั้น (ส่วนใหญ่อเมริกานำเข้าพวกคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงเครื่องจักรต่าง ๆ)

ในทางกลับกันสินค้าที่จีนนำเข้าจากอเมริกาที่มากเป็นพิเศษ กลับเป็นสินค้าเกษตร (โดยเฉพาะพวกเมล็ดพืชที่เอาไปทำน้ำมันแบบถั่วเหลือง) ที่เอาจริง ๆ จีนไปซื้อจากประเทศอื่นก็ได้ ไม่ต้องซื้อจากอเมริกา

ในทางปฏิบัตินี่หมายถึง ถ้าอเมริกาเพิ่มกำแพงภาษีสินค้าจากจีน สิ่งที่จะเกิดขึ้นแทบทั้งหมดก็คือ พวกคอมพิวเตอร์ไปจนถึงเครื่องจักรในอเมริกาที่นำเข้าจากจีนจะแพงขึ้น และมันแพงขึ้นเพราะของพวกนี้ยังไงก็ต้องนำเข้าจากจีน อเมริกาเลี่ยงไปซื้อจากประเทศอื่นไม่ได้ เพราะถึงราคาเพิ่มแบบบวกภาษีเข้าไปแล้ว สินค้าจีนก็ยังถูกกว่าที่ผลิตในประเทศอื่นอยู่ดี

ในทางกลับกัน ทางฝั่งจีน สินค้าที่นำเข้าจากอเมริกาหนัก ๆ ถ้าไม่นับพวกเครื่องบินแล้ว มันเป็นพวกสินค้าเกษตร ผลที่เกิดขึ้นหลังจีนเล่นงานสินค้าอเมริกาพวกนี้ ด้วยกำแพงภาษีและขึ้นราคา คนก็จะหันไปซื้อสินค้าเกษตรจากประเทศอื่นที่ราคาถูกกว่าราคาสินค้าอเมริกา+ภาษีนำเข้าแทน เพราะสินค้าพวกนี้ประเทศไหน ๆ ก็ผลิตได้

กล่าวคือถ้า “แลกกันคนละหมัด” ด้วยการขึ้นภาษีแล้ว จีนมีโอกาสเจ็บน้อยกว่าอเมริกาเยอะ ผลสุดท้ายก็คือ ตอนนี้อเมริกายิ่งขาดดุลการค้าจีนหนักเลย

แม้ว่าสินค้าส่งออกจีนไปอเมริกาจะลดลงจริง แต่สินค้าส่งออกของอเมริกาไปจีนลดลงไปมากกว่าเยอะ (เขาถึงว่าคนที่ซวยที่สุดในศึกนี้คือพวกเกษตรกรอเมริกัน) ทั้งหมดมันเลยทำให้เรื่องตลกก็คือ แม้ว่าการ “ขาดดุลการค้า” จะเป็นข้ออ้างของสงครามการค้าแต่แรก แต่ตอนนี้หลังสงครามการค้าเกิด อเมริกาขาดดุลเสียยิ่งกว่าตอนที่ Trump ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในตอนแรกเสียอีก

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหล่านักวิเคราะห์จะมองไม่เห็นแต่แรก นี่เป็นสิ่งที่เห็นผลกันชัด ๆ อยู่แล้ว แบบดูตัวเลขผ่าน ๆ ก็รู้ ไม่ต้องให้โมเดลอะไรวิเคราะห์ให้มากความก็เห็นด้วยซ้ำ

แต่ Trump ก็ยังเดินหน้าต่อและประกาศ “สงครามการค้า” ในที่สุด และมันก็มีคนที่ต้อง “เจ็บหนัก” อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ในฝั่งอเมริกาเอง

ซึ่งจริง ๆ เรียกนี่ว่า “สงคราม” ก็คงถูกแล้ว เพราะตรรกะที่ดำเนินอยู่ในฝั่ง Trump ดูจะไม่ใช่ตรรกะทางเศรษฐกิจอีกแล้ว เพราะการคิดคำนวณแบบดูผลได้ผลเสียทางเศรษฐกิจ มันไม่สมเหตุสมผล ตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามการค้าแล้ว และพอสงครามเริ่มจริง ๆ มันก็ยิ่งชัดว่ามันไม่สมเหตุสมผล

สุดท้าย มันเป็นเรื่องการเมืองที่แฝงตัวเข้ามาในนโยบายทางเศรษฐกิจมากกว่า เพราะอเมริกากลัวการที่จีนจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีอยู่แล้ว เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องของแค่การพ่ายแพ้ในทางการค้าทั้งนั้น แต่มันกระทบของอำนาจอเมริกาในระดับโลกแน่ ๆ ถ้าปล่อยให้บริษัทเทคโนโลยีจีนขยายตัวไปเรื่อย ๆ แบบที่เป็นอยู่

ซึ่งการที่อเมริกา “กวนโอ๊ย” บริษัทที่ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์อย่าง Huawei สารพัดตั้งแต่แบนสินค้า Huawei ในอเมริกามาตั้งแต่ปีมะโว้ มาจนถึงการฝากให้แคนาดาจับผู้บริหาร และล่าสุดก็สั่งให้บริษัทอเมริกาทั้งหลายเลิกทำธุรกิจกับ Huawei ก็ล้วนดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องของแค่ “การค้า” แล้วมันเรื่อง “การเมือง”

ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าที่ Trump ทำไปไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง เพราะถึงการประกาศสงครามการค้านั้นจะดูไม่เข้าท่าสุด ๆ ในทางเศรษฐกิจ แต่นั่นก็คงเป็นวิธีเดียวที่จะทำได้จริง ๆ เพื่อจะ “กดดัน” ไปจนถึงลดอำนาจทางการเมืองของจีนในระดับโลกได้

สุดท้ายนี้ก็อย่าลืมกันนะครับว่า ถ้าขนาดอเมริกายังหยุดจีนไม่ได้ ก็คงจะไม่มีใครอีกแล้วในโลกที่จะหยุดจีนได้ และการสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งระดับนั้น การสู้แบบ “ไม่เจ็บ” เลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หรือกระทั่งการสู้แบบ “หมดหน้าตัก” ก็คงจะไม่แปลกอะไรเช่นกัน ถ้าหวังจะชนะ