Together to Net Zero เริ่มต้นแค่พวกเราขยับปีก เปลี่ยนโลกไปด้วยกันกับ ใบตอง-จรีรัตน์ เพชรโสม มิสเอิร์ธไทยแลนด์ และนักขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินแนวคิดบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟ็คต์ (Butterfly Effect) หรือ ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก กันมาบ้าง แนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดง่ายๆ ที่ช่วยย้ำเตือนพวกเราว่า แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่เล็กน้อยสักแค่ไหน ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ได้เสมอ
เปรียบเสมือนการขยับปีกของผีเสื้อที่แทบดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ในหลายครั้งก็สามารถสร้างผลกระทบได้อย่างมหาศาล
คำถามคือ แล้วการกระทำไหนบ้าง ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้?
คำตอบก็คงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะทุกการกระทำของเรานั่นแหละ ไม่ว่าจะบวกหรือลบ จะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ ทุกการกระทำของเราล้วนสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบใหญ่ได้อย่างแน่นอน
เราจะพาทุกคนไปพูดคุยกับ ใบตอง-จรีรัตน์ เพชรโสม มิสเอิร์ธไทยแลนด์ และนักขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม ถึงเรื่องราวการขยับปีกที่เล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ กับการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ด้วยตัวเราเอง
แรกเริ่มใบตองเล่าเรื่องราวในชีวิตให้เราฟัง ชีวิตที่เหมือนดั่งทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในการที่มีโอกาสเข้าชมรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนปะทิววิทยา เพียงเพราะชมรมคอมพิวเตอร์เต็ม และแทนที่เธอจะได้เป็นคนเยียวยาธรรมชาติ แต่พอชีวิตของเธอและโลกใบใหญ่เริ่มออกเดินทาง รู้ตัวอีกที เธอก็เป็นฝ่ายที่ได้รับการเยียวจากธรรมชาติไปเสียแล้ว
“ธรรมชาติได้บำบัดเด็กผู้หญิงคนนี้ให้กระชุ่มกระชวย ถ้าเปรียบเด็กคนนี้ก่อนหน้านี้ เขาอาจจะเป็นต้นไม้แห้งๆ ที่ไม่ค่อยมีน้ำ แต่ธรรมชาติกลายเป็นน้ำ กลายเป็นแสงแดด กลายเป็นแร่ธาตุ ที่ค่อยๆ เติมเต็มให้เขา ให้ค่อยๆ มีใบเล็กๆ งอกออกมา ต้นไม้ต้นนี้ มันได้รับการเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ ได้รับแดดอย่างเต็มกำลัง ได้รับน้ำ ได้รับพลัง ได้รับชีวมวลของพลังชีวิต ก็เลยโตมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีความฝันอยากจะแผ่กิ่งก้านสาขาของตัวเองออกไปให้ครอบคลุม”
ใบตองได้เริ่มเล่านิทานของเด็กหญิงคนหนึ่งให้เราฟัง เรื่องราวของเด็กหญิงที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับมีตัวตนที่แตกต่างออกไปเพราะการได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ
“เด็กผู้หญิงคนนี้เขาได้รับการเยียวยาและบำบัดโดยธรรมชาติ เด็กผู้หญิงคนนี้กล้าที่จะก้าวออกมาอยู่หน้าสาธารณชน อยู่ต่อหน้าทุกคน สามารถพูดได้ สามารถที่จะเป็นตัวแทนให้โรงเรียน เป็นตัวแทนให้เพื่อน กล้าพูด กล้าคิด และกล้าทำ เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พลิกชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนี้ไปเลย เปลี่ยนจากการที่เราไม่ค่อยรู้จักอะไรเลย กลายเป็นสนใจมากขึ้น แคร์มากขึ้น”
จากวันนั้นเป็นต้นมา เธอได้สร้างแรงขับเคลื่อนความรักษ์ธรรมชาติในตัวเอง จนกลายเป็นตัวตนที่เหนียวแน่น ผลักดันให้ใบตองกลายเป็นนักอนุรักษ์จนถึงทุกวันนี้ จากนักอนุรักษ์วัยเยาว์ที่คว้ารางวัลมากมาย สู่วิถีนางงามระดับโลกที่เธอไม่เคยคาดฝัน ว่าจะมาเป็นตัวตนของเธอในวันนี้
“การประกวดนางงามครั้งแรก ตองไม่มีความมั่นใจ ตองไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราแทบไม่ชอบวงการนี้ด้วยซ้ำ วงการขาอ่อนใส่ส้นสูง เพราะเราใส่ผ้าใบมาตลอด เรารู้สึกว่าจะทำอย่างนั้นไปทำไม มันไม่เห็นมีประโยชน์อะไร จนกระทั่งพอได้มาอยู่ตรงนั้นจริงๆ แล้วเห็นว่าวงการนี้ใหญ่มาก เป็นอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนโลกได้ เราพูดแทนธรรมชาติได้เพราะว่าธรรมชาติพูดไม่ได้
“เราเห็นโอกาสว่า การที่คนคนหนึ่งเป็นคนธรรมดาสามัญแบบตัวเล็กตัวน้อย แค่ขึ้นมาอยู่ในระบบนางงาม คุณพูดอะไรก็ได้ เพราะทุกคนจะมองว่าคุณเป็นนัมเบอร์วัน คุณคือไอดอล คุณคือคนที่เป็นกระบอกเสียง ก็เลยใช้พื้นที่นั้น เพราะเราไม่ได้อยากไปเป็นนักแสดง แต่เราอยากเข้าไปในวงการบันเทิงเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ตองต้องการสร้างพื้นที่ให้มีคนฟังมากขึ้น ให้มีคนได้ยินเรามากขึ้น สร้างเส้นเสียงของเราให้แข็งแกร่งมากขึ้น”
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้ใบตองเชื่อมั่นว่า ทุกการกระทำนั้นสร้างผลกระทบอะไรบางอย่างได้เสมอ
“ทฤษฎี Butterfly Effect บอกว่า ผีเสื้อตัวเล็กนิดเดียว ก็เคลื่อนโลกได้ ฉะนั้นเราทุกคน ไม่ว่าจะตัวเล็กแค่ไหน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้เหมือนกัน”
ถึงแม้ว่าเราทุกคนจะรู้สึกว่า ตัวเราอาจจะไม่มีพลังมากพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
แต่ทุกวันนี้ การกระทำทุกการกระทำในชีวิตประจำวัน เรากลับสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลกระทบให้กับโลกนี้โดยที่เราไม่รู้ตัว
ฉะนั้น จงเชื่อเถอะว่าเราทุกคนมีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้นได้ อย่างที่ใบตองเคยบอกว่า
“ตองก็คือคนเดิม ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ คนนั้นอยู่ เพียงแต่เรารู้ว่าพลังที่อยู่ในตัวเราเอาออกมาใช้ทำอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นตองอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวของตัวเอง อย่าไปคิดว่าการรักษาโลกมันใหญ่ ยิ่งรักโลกมากเท่าไหร่ก็เหมือนการรักตัวเองมากเท่านั้น”
ใบตองยังเล่าต่ออีกว่า ในทุกวันที่เราใช้ชีวิต เราทุกคนคือคนที่ปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) โดยไม่รู้ตัว
ทุกคนมีส่วนในการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในการบริโภคอาหาร เพราะการเกิดก๊าซเรือนกระจก 1 ใน 4 มาจากกระบวนการผลิตอาหารนั่นเอง ยังไม่นับรวมถึงพฤติกรรมอื่นๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันที่สร้างผลกระทบให้โลกใบนี้อีกด้วย
ดังนั้น เราทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการใช้ชีวิตของตัวเองที่ทำให้เกิดผลกระทบกับโลกใบนี้ด้วย
“หลายคนอาจจะเข้าใจว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ไม่ได้จับแค่องค์กรหรือบริษัทเหรอ ไม่ใช่หรอก ทุกคนมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์หมด ตัวตองเองก็มี เพราะฉะนั้นปลูกต้นไม้ทดแทนไปเลย เราจะได้พูดได้เต็มปากว่าเราเป็นคน Net Zero”
เมื่อคนตัวเล็กๆ อย่างใบตองหรือแม้กระทั่งตัวเราเองตระหนักรู้แล้วว่า ทุกการกระทำในชีวิตประจำวันของพวกเรามีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ไปในทิศทางใดก็ได้ และหากคนตัวเล็กๆ อย่างเราทุกคนร่วมมือกัน ก็ย่อมสร้างการเปลี่ยนแปลงเป็นภาพใหญ่ให้กับโลกใบนี้ได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง
โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ที่หลายคนอาจมองข้าม การปลูกต้นไม้ก็เป็นเหมือนการขยับปีกเล็กๆ ของผีเสื้อ แต่เป็นการขยับปีกที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก ซึ่งใบตองเองก็เน้นย้ำให้เราฟังในประเด็นนี้
“การเติมเต็มพื้นที่สีเขียว การปลูกต้นไม้นี่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะต้นโกงกางที่อยู่กับเราตรงนี้ ตองเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้สึกว่าหายใจโล่งมากๆ หายใจโล่งมันไม่ได้ดีแค่กับปอดอย่างเดียวนะ มันดีทั้งร่างกายเลยเพราะว่าเลือดมันก็ได้รับด้วย ตามข้อมูลเขาบอกว่า ต้นโกงกางหนึ่งต้นสามารถผลิตออกซิเจนให้เพียงพอต่อหนึ่งครอบครัวหรือว่าสี่คนได้เลย การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การไปปลูกต้นไม้ควรทำอย่างยิ่ง ยิ่งเพิ่มมากยิ่งดี ถ้าเราปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น โลกนี้ก็จะเย็นขึ้น”
“และส่วนที่สำคัญที่สุดในการกักเก็บคาร์บอน คือทะเล แต่ตอนนี้ทะเลร้อนมาก เพราะเขาช่วยเก็บไปเยอะมาก แล้วถ้าทะเลร้อนก็ทำให้ปะการังตาย มันส่งผลกันแล้วนะ พอปะการังตายแล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่มีแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ สัตว์ตัวเล็กๆ ก็ไม่ค่อยเกิด เพราะฉะนั้นนี่มันเลยเป็นวงโคจรที่ย้อนกลับมา สารอาหารก็ไม่ค่อยกลับมาหาเรา เราก็ไม่มีอะไรกิน มันก็คือทุกอย่างที่วนลูปหากันหมด มันคือวงจรเดียวกัน มันส่งผล มันเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นอะไรก็ตาม ต้นเล็ก ต้นใหญ่ ต้นแบบไหนก็ได้ ทำเถอะ ปลูกเถอะ ตัดไปเท่าไหร่เติมให้เยอะมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์อะไร ต้นไม้อะไรปลูกทดแทนให้เยอะที่สุดที่เราจะสามารถทำได้ เพื่อก้าวไปสู่ Net Zero ไปด้วยกัน มันทำได้”
ท้ายที่สุด ใบตองเชื่อว่าไม่ใช่แค่เธอที่จะเป็นคนเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ แต่พวกเราทุกคนก็มีพลัง และการกระทำของพวกเราก็ทรงพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้เช่นกัน
“ทุกคนทำได้แน่นอน เพราะว่าตองเชื่อในธรรมชาติ และตองเชื่อในพลังของมนุษย์ทุกคน เวลาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเชื่อไหมว่าเราจะมีพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเราเสมอ ทุกคนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเอง และทุกคนสามารถเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของโลกนี้ได้
“เราเคยเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง เมื่อก่อนที่อยู่ในมุมมืดแล้วขดตัวอยู่เล็กๆ แล้วตอนนี้เราเป็นอีกคนหนึ่งที่เฉิดฉายและพร้อมที่จะแผ่กิ่งก้านสาขาให้ทุกคน ตองก็คือคนเดิม ก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ คนนั้นอยู่ เพียงแต่เรารู้ว่าพลังที่อยู่ในตัวเราเอาออกมาใช้ทำอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นตองอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวของตัวเอง อย่าไปคิดว่าการรักษาโลกมันใหญ่ อย่ามองไปที่การรักษาโลก ให้มองว่าเราจะดูแลรักษาตัวเองยังไง ยิ่งรักโลกมากเท่าไหร่ก็เหมือนการรักตัวเองมากเท่านั้น
“ใบตองคนนั้น ใบตองคนนี้ คือคนคนเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ แต่ขอแค่ให้รู้ว่าข้อดีข้อด้อยจุดแข็งจุดอ่อนของเราคืออะไร รู้จักตัวตนของเราให้ได้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เมื่อไหร่ที่เรารู้จุดนั้นของเรา ใจเรามันจะพาเรากลับมาหาจุดเริ่มต้นเสมอ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของตอง
“ทุกวันนี้ตองก็ยังเป็นผีเสื้อตัวเล็กๆ ตัวนั้นอยู่ ก็บินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็แค่กางปีกไว้เฉยๆ มีกำลังก็บินต่อ แต่บินคนเดียวมันเหนื่อย มาบินด้วยกันสิ มาขยับปีกไปด้วยกัน มาเคลื่อนโลกนี้ไปด้วยกัน”
แล้วคุณล่ะ? พร้อมที่จะขยับปีกไปกับใบตองแล้วหรือยัง? พร้อมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่โลกใบนี้แล้วหรือยัง?
ติดตามคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ ใบตอง-จรีรัตน์ เพชรโสม มิสเอิร์ธไทยแลนด์ และนักขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม ได้ที่: https://youtu.be/zKf3VZ0bDGY
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://bit.ly/3zkyxRu