8 Min

ใครๆ ก็อยากเป็น ‘ลูกคนโปรด’ ภาพสะท้อนแห่งความเจ็บปวดของคนมี ‘พี่น้อง’ ตามขนบครอบครัวเอเชีย จากภาพยนตร์ ‘Time Still Turns the Pages’

8 Min
8 Views
11 Aug 2025

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของภาพยนตร์ ‘Time Still Turns the Pages’]

หลังจากสร้างเสียงชื่นชมในเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ‘Time Still Turns the Pages’ ภาพยนตร์ฮ่องกงที่สะท้อนความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างลึกซึ้ง ก็ได้สตรีมให้ชมอย่างเป็นทางการแล้วทาง Netflix ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ ด้วยเรื่องราวที่บอกเล่าถึงความรัก ความเจ็บปวด และความรู้สึกที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ยของเด็กคนหนึ่ง หนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นดั่งกระจกสะท้อนความรู้สึกของใครหลายคนที่เคยถามตัวเองในใจว่า… “แล้วฉันล่ะ เป็นลูกคนโปรดหรือเปล่า?”

เมื่อไหร่ก็ตาม…ที่เราไม่ได้เป็นเพียง ‘ลูกคนเดียว’ ของพ่อแม่ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะมีความรู้สึกต่างๆ พรั่งพรูมหาศาล ทั้งความปีติ ความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ อุ่นใจ เป็นเรื่องน่ายินดีแค่ไหนที่เราจะมีมนุษย์อีกคน (หรือมากกว่า 1 คน) ที่จะเติบโตไปพร้อมกัน เป็นเพื่อนเล่น เป็นคนที่อยู่เคียงข้างกันที่แค่หันไปอีกมุมของบ้านก็เจอ

แต่เมื่อเราเริ่มเติบโตขึ้น ทำไมความรู้สึกเหล่านั้นกลับค่อยๆ ลดน้อยถอยลง และถูกแทนที่ด้วยการตั้งคำถามว่า “พ่อแม่รักเราเท่ากันไหมนะ?” เพียงเพราะการไม่ได้เป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของพ่อแม่

เป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะถูกรบกวนจิตใจด้วยความรู้สึกเปรียบเทียบ และรู้สึกว่าพ่อแม่รักเราไม่เท่ากับอีกคน

แต่ไม่ว่าใครจะเกิดก่อนหรือเกิดหลัง ทุกคนต่างก็อยากเป็นลูกที่พ่อแม่ภูมิใจด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งความอยากเป็น ‘ลูกคนโปรด’ นี้เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องหลายคู่ต้องมีปัญหา

‘Time Still Turns the Pages’ หนังฮ่องกงที่ถ่ายทอดความกดดันระหว่างพี่น้องในครอบครัวเอเชียได้อย่างลึกซึ้ง และทำให้เราเห็นว่าความเจ็บปวดของคนมีพี่น้องนั้นมีอยู่จริง และเมื่อมันไม่ได้ถูกเยียวยาจากใครสักคนเลยในครอบครัว นั่นอาจนำมาสู่บาดแผลอันใหญ่หลวงที่สายเกินแก้

“บางเวลาเหมือนตัวเองไม่มีค่า สำหรับใครเลย”
“ฉันไม่น่าจดจำสำหรับใครเลย”
“อดทนอีกหน่อยนะ สักวันเธอจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่เธออยากเป็น”

หลายประโยคจาก Time Still Turns the Pages อาจทำให้ใครหลายคนต้องรู้สึกจุกจนถึงขั้นเสียน้ำตา

Time Still Turns the Pages ภาพยนตร์สัญชาติฮ่องกงที่ใช้ ‘เด็ก’ ดำเนินเรื่องและกระทุ้งความรู้สึกผู้ชมอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดเวลาที่หนังเรื่องนี้พาเราไปพบกับเรื่องราวของ ‘คนในบ้านตระกูลเจ็ง’

ภาพยนตร์เรื่องนี้หยิบเอาประเด็นที่แสนจะใกล้ตัวและธรรมดามาเล่าให้ผู้ชมฟัง อย่าง ความเจ็บปวดของคนมีพี่น้อง คำพูดทำร้ายจิตใจจากคนในครอบครัว และการต้องต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างอย่างโดดเดี่ยว สิ่งเหล่านี้อาจไปสะกิดแผลใจในวัยเด็กของใครหลายคนจนได้รับคำวิจารณ์จากคอหนังฮ่องกงทั่วโลกไปในทิศทางดีเยี่ยม และมีชื่อเข้าชิงรางวัลมากมาย

หลากคำวิจารณ์กล่าวชื่นชมถึงความท้าทายในการนำประเด็นอ่อนไหวอย่างการทำอัตวินิบาตกรรมมาเล่าได้อย่างลึกซึ้ง Time Still Turns the Pages บอกเล่าเรื่องราวของ ‘เจ็ง’ (Cheng Yau-chun) คุณครูโรงเรียนมัธยมปลายที่พบจดหมายสั่งลาฉบับหนึ่งที่เขียนโดยเด็กนักเรียนสักคนที่อยู่ในความดูแลของเขา และเจ็งก็พยายามตามหานักเรียนผู้เป็นเจ้าของลายมือนี้ เพื่อยับยั้งโศกนาฏกรรมที่อาจเกิดขึ้น

ทว่าท้ายที่สุดสิ่งที่เจ็งพบกลับไม่ใช่เจ้าของจดหมาย หากแต่เป็นความรู้สึกคั่งค้างในวัยเด็กของเขาที่เป็นบาดแผลทิ้งร้างมานาน เมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนี้ทำให้เขานึกถึงไดอารีเล่มเก่า ในความทรงจำแสนเจ็บปวดที่ปิดผนึกไว้ไม่เคยกล้าเปิดออกมา แต่จดหมายฉบับนี้ทำให้เขาได้กลับมาอ่านมันอีกครั้ง

สิ่งที่หนังเรื่องนี้พูดถึงไม่ใช่เพียงแค่บาดแผลในวัยเด็ก โรคซึมเศร้า หรือการจบชีวิตตนเองเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยประเด็นอ่อนไหวมากมายที่หลายครอบครัวต้องเผชิญจากรุ่นสู่รุ่น และปัญหาเหล่านี้ก็ยังไม่เคยได้รับการแก้ไขและยังคงดำเนินเรื่อยมาในหลายครอบครัวจนถึงปัจจุบัน

วันนี้ BrandThink จึงอยากชวนมาถอดบทเรียนเรื่องราวความเจ็บปวดจากครอบครัว ที่ภาพยนตร์ได้เล่าไว้อย่างลึกซึ้ง และอาจเป็น ‘ประสบการณ์ร่วม’ ของหลายบ้าน ที่เป็นเหตุผลเบื้องหลังว่าอะไรที่ทำให้เด็กชายจิตใจบริสุทธิ์บอบบางคนหนึ่งต้องรู้สึกแหลกสลายยับเยินไม่มีชิ้นดี

ความสัมพันธ์ที่มาพร้อมกับการเปรียบเทียบ
เมื่อความรักระหว่าง ‘พี่น้อง’ กลายเป็นสนามแข่งขันที่ไม่มีผู้ชนะ

ภาพยนตร์ ‘Time Still Turns the Pages’ บอกเล่าเรื่องราวระหว่างพี่น้อง ที่ต่างคนต่างต้องเผชิญกับความกดดันจากครอบครัวในทางที่สวนกันของ ‘สองพี่น้องตระกูลเจ็ง’ ที่มี ‘เจ็งคนพี่’ เป็นเด็กชายวัย 10 ขวบ ที่ถูกกดดันจากความสามารถของ ‘เจ็งคนน้อง’ และแม้ว่าเจ็งคนน้องจะมีพรสวรรค์ทั้งด้านการเรียนและกิจกรรมต่างๆ แต่เขาเองก็ไม่เคยเอ่ยปากสักครั้งว่าชอบสิ่งเหล่านี้ ที่ทำไปเป็นเพียงแค่ความต้องการของพ่อแม่เท่านั้น

ถึงแม้ว่าคุณจะรักพี่น้องตัวเองแค่ไหน ความรู้สึกอิจฉาย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และแม้ความรู้สึกอิจฉาจะเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนในบ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นเรื่องยากทีเดียวที่เราจะสามารถอดใจไม่เปรียบเทียบตัวเองกับมนุษย์อีกคนที่คลานออกมาจากท้องแม่เดียวกันได้

โดยเฉพาะถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งทำอะไรเก่งกว่า ถูกยอมรับมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน หน้าที่การงาน หรือความสำเร็จในชีวิต ยิ่งถ้าพ่อแม่บ้านไหนดูจะเอาใจ ‘ลูกคนเก่ง’ คนนั้นเป็นพิเศษ เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกคนที่เหลือจะไม่รู้สึกน้อยใจและไม่เกิดการเปรียบเทียบกับตัวเอง

เมื่อความรู้สึกเหล่านี้ถาโถมเข้ามากๆ กลายเป็นว่าคุณรู้สึกไม่สบายใจต่อพี่น้องของตนเอง ราวกับว่าความรู้สึกนั้นค่อยๆ สร้างกำแพงบางๆ ขึ้นมาระหว่างพี่น้องโดยไม่รู้ตัว และถ้าไม่มีใครเปิดใจพูดคุยถึงเรื่องนี้ พี่น้องหลายคู่กลับกลายเป็นต้องห่างเหินและไม่สนิทใจต่อกันไป

กว่าอีกคนจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายต้องแบกรับไว้ก็อาจสายเกินแก้ ดังที่หนังต้องการจะบอกกับเราทุกคนว่า…หากใครสักคนใส่ใจความรู้สึกของเด็กน้อยไร้เดียงสาเพียงสักนิด ครอบครัวและชีวิตของลูกที่ไม่เอาถ่านก็คงไม่มีจุดจบที่น่าหดหู่ใจเช่นนี้

ค่านิยมตามแบบฉบับวัฒนธรรมครอบครัวเอเชีย: เชื้อเพลิงแห่งความคาดหวังและแรงกดดัน ที่ทำลายความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว

สิ่งหนึ่งที่ ‘Time Still Turns the Pages’ ตีแผ่ออกมาได้อย่างเด่นชัด คือวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกของครอบครัวเอเชีย บาดแผลที่เด็กชายทั้งสองแบกรับไว้เกิดจากการถูกทำร้ายอย่างรุนแรงด้วยการกระทำและคำพูดจากผู้เป็นพ่อ

ความกดดันและเข้มงวดต่อลูกของพ่อแม่ชาวเอเชียนั้น มาจากการปลูกฝังค่านิยมที่ว่า ‘เลี้ยงลูกให้ดี เท่ากับเลี้ยงลูกให้เก่ง’ คาดหวังให้ลูกมีฐานะและหน้าที่การงานในสังคมที่ดี นี่จึงเป็นสาเหตุให้พ่อแม่ชาวเอเชียหลายบ้านเผลอทำร้ายลูกของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

และถ้าหากพูดถึงต้นตอของค่านิยมนี้ ต้องกล่าวว่าเป็นเพราะครอบครัวเอเชียต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจ

ผลการศึกษาจาก National Bureau of Economic Research (NBER) ในบทความชื่อ ‘The Economics of Parenting’ พบว่าแนวทางการเลี้ยงลูกนั้นมีความสัมพันธ์กับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของแต่ละประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยพ่อแม่ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำก็มักจะเลี้ยงลูกแบบปล่อยให้ทำตามใจ ส่วนประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง พ่อแม่ก็มักจะเข้มงวดกับลูกๆ มากขึ้น

แม้ว่าครอบครัวที่หนังได้ฉายภาพออกมานั้นจะเป็นครอบครัวฮ่องกงที่มีฐานะทางสังคมที่ดี และฐานะทางการเงินก็ถือว่าอยู่ในระดับชนชั้นนำ สามารถส่งลูกๆ เรียนพิเศษ มีกิจกรรมเสริม รวมถึงส่งไปเรียนต่างประเทศได้ แต่วัฒนธรรมเอเชียโดยเฉพาะ ‘วัฒนธรรมจีน’ ล้วนผูกโยงอยู่กับครอบครัว ฝังรากลึกจากรุ่นสู่รุ่น การรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูลให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ตกต่ำลงไป ทำให้เด็กๆ ต้องเคารพและเชื่อฟังผู้ใหญ่ในบ้าน เพื่อส่งต่อพันธกิจอันยิ่งใหญ่นี้สืบไป

เมื่อทุกคนในบ้านต่างก็เจ็บปวด
และบาดแผลเหล่านั้นยังคงเวียนวน-ถูกส่งต่อกัน…ไม่รู้จบ

ตัวละคร ‘เจ็ง’ ในวัยผู้ใหญ่เป็นภาพสะท้อนชัดเจนของคนที่ได้รับบาดแผลเจ็บช้ำรุนแรงจากครอบครัว และผู้ใหญ่อย่างเจ็งก็พยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล มีความเป็นผู้นำ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยแผลบาดลึกมากมาย

ชีวิตวัยทำงานของเขาดูเหมือนจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มีหน้าที่การงานที่ดี ได้ทำงานที่ตัวเองรัก และกำลังจะมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่สุดท้ายสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในจากอดีตอันเจ็บปวด กลับมีอิทธิพลและส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบันของเขาโดยไม่รู้ตัว

ภาพจำในวัยเด็กที่เต็มไปด้วยการทุบตี การถูกเพิกเฉยเหมือนเป็นอากาศธาตุ และการถูกทำร้ายด้วยคำพูดรุนแรง ทำให้เด็กคนหนึ่งต้องสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง และตั้งคำถามกับการมีอยู่ของตัวเองบ่อยครั้ง “บางเวลาเหมือนตัวเองไม่มีค่าสำหรับใครเลย” เป็นประโยคที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กวัยเพียงสิบขวบเสียด้วยซ้ำ

ไม่ได้มีแค่เด็กชายสองคนเท่านั้นที่ถูกคาดหวังและแบกความรับผิดชอบเกินตัวจากผู้เป็นพ่อ แต่ใครอีกคนที่มีบาดแผลไม่น้อยไปกว่าลูกๆ คือแม่ เธอพยายามทำหน้าที่ของภรรยาและแม่ที่ดีตามขนบครอบครัวจีนที่อยู่ภายใต้การปกครองของสามี ทำให้แม้ว่าเธอจะรักและอยากเลี้ยงลูกทั้งสองด้วยความเอาใจใส่แค่ไหน แต่การถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจากสามีก็บีบบังคับให้เธอส่งต่อความกดดันและความรุนแรงเหล่านั้นลงไปในจิตใจลูกด้วย

เด็กวัยสิบขวบเป็นเหมือนดอกไม้ที่กำลังจะเติบโตและผลิบาน ความทรงจำของเด็กวัยนี้ควรจะเป็นภาพที่มีแต่ความสดใส ที่นึกถึงทีไรก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ชีวิตในวัยเด็กของเจ็งนั้นเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะยอมรับและกลับมานึกถึงได้ การเติบโตมาในสภาพครอบครัวมืดมนเช่นนี้ ส่งผลต่อการประคองความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่ เขาบั่นทอนคุณค่าของตัวเองจนไม่เชื่อว่าตัวเองจะเป็นพ่อที่ดีได้ ซึ่งหนังสามารถร้อยเรียงออกมาได้อย่างละเอียดอ่อน ทำให้คนดูรู้สึกเข้าใจและปวดใจไปพร้อมๆ กับเจ็ง

เมื่อหัวใจที่แตกสลาย ไม่มีใครพร้อมรับฟัง
จนกลายเป็น ‘คำอำลาสุดท้าย’
ในจดหมายที่ไม่มีใครอยากเจอ

‘นิค เฉิก’ (Nick Cheuk) ผู้กำกับ ‘Time Still Turns the Pages’ เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาได้แรงบันดาลใจส่วนตัวจากเหตุการณ์สูญเสียเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัย จากการจบชีวิตตนเองและทิ้งจดหมายฉบับสุดท้ายไว้ก่อนจากไป

เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจและความรู้สึกของเขาอย่างมาก แม้นิคจะมีความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับประเด็นนี้และตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ผ่านม้วนหนังอยู่แล้ว แต่เขาก็ต้องพับเก็บลงไปเพราะการสูญเสียครั้งนี้กระทบกระเทือนจิตใจเขาเกินไป

เขาพยายามหาเหตุผลของความสูญเสียครั้งนี้ และพบว่าสาเหตุหนึ่งของการปลิดชีพตัวเอง คือการที่บุคคลนั้นไม่มีโอกาสพูดหรือระบายความรู้สึกกับใครสักคนที่พร้อมรับฟัง

นิค เฉิกใช้เวลาพัฒนาบทอยู่นานหลายปี เพื่อเล่าประเด็นการกระทำอัตวินิบาตกรรมที่เป็นประเด็นอ่อนไหวนี้ให้ออกมาสมบูรณ์และเข้าถึงจิตใจคนดูได้มากที่สุด

ในฮ่องกงเองให้ความสนใจเกี่ยวกับ ‘จดหมายสั่งลา’ อย่างมาก เนื่องจากมีกรณีการจบชีวิตที่เกี่ยวข้องกับจดหมายสั่งลาอยู่หลายครั้ง เหตุการณ์ที่เป็นที่พูดถึงและกระทบกระเทือนจิตใจคนฮ่องกงมากที่สุด คือการเสียชีวิตของแม่และเด็ก วัย 9 ปี โดยเธอทิ้งจดหมายที่บ่งบอกถึงความเศร้าเสียใจหลังจากที่เธอสูญเสียสามีที่จบชีวิตตัวเองลงก่อนหน้านี้

ในปี 2015-2017 มีรายงานการกระทำอัตวินิบาตกรรมของนักเรียนกว่า 70 คดี โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุระหว่าง 15-24 ปี อัตราการจบชีวิตตัวเองของชาวฮ่องกงอยู่ที่ 12 คนต่อประชากร 100,000 คน นับเป็นประเทศที่มีคนกระทำอัตวินิบาตกรรมถี่เป็นอันดับที่ 32 ของโลก

ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับคนที่เผชิญความสูญเสียอย่างนิค เฉิก ที่จะต้องถ่ายทอดหนังที่พูดถึงความตาย รวมถึงยังเป็นประเด็นอ่อนไหวในสังคม หากร้อยเรียงไม่ดีอาจได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ทิ่มแทงกลับมาแทนได้

อย่างไรก็ตาม เขาได้นำพาคนดูเข้าไปสัมผัสเรื่องราวน่าเจ็บปวดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปในเชิงบวก หลายเสียงบอกว่าหนังหยิบยกและถ่ายทอดปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว อัตวินิบาตกรรม และปัญหาด้านการศึกษาของเด็กและเยาวชนทั้งในระดับมัธยมและประถมวัยที่มีการแข่งขันสูงขึ้นทุกวันได้อย่างโดดเด่น ทั้งในด้านเนื้อหา อารมณ์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเข้มข้นลึกซึ้ง และงานภาพที่ออกแบบมาได้สวยงามทั้งสีสัน เซ็ตติ้ง และมุมกล้อง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เรากลับมาตั้งคำถามกับสถาบันครอบครัวมากขึ้น เมื่อทุกการกระทำของคนในครอบครัวส่งผลต่อสภาพจิตใจและวิธีการเลือกเติบโตของเด็กคนหนึ่ง ดังนั้นครอบครัวควรจะเป็นสถานที่ปลอดภัย เป็นพื้นที่คอยโอบอุ้มและประคับประคองความรู้สึก เพื่อให้เด็กคนหนึ่งได้เติบโตไปในทิศทางที่เขาใฝ่ฝันอย่างทะนุถนอม ไร้ซึ่งความกดดันและความคาดหวังด้วยคำพูดและการกระทำที่รุนแรงต่อทั้งร่างกายและจิตใจ

บทเรียนที่ ‘Time Still Turns the Pages’ ทิ้งไว้นั้น เป็นบทเรียนที่คุ้มค่าแก่การเรียนรู้อย่างยิ่ง สิ่งที่ผู้ชมได้รับไม่ควรเป็นแค่ความรู้สึกเจ็บช้ำและน้ำตาที่เอ่อล้นเมื่อออกจากโรง แต่เป็นการกลับไปทบทวนตัวเองว่าเราเคยทำร้ายจิตใจคนในครอบครัวตัวเองหรือไม่ มีใครสักคนในบ้านที่กำลังต้องการกำลังใจและรอคอยการช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า กลับไปทำให้สถาบันครอบครัวเป็นสถานที่บ่มเพาะแรงกายแรงใจที่ดี เพื่อให้ทุกคนสามารถออกไปเติบโตยังโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายได้ โดยมี ‘บ้าน’ อันอบอุ่นคอยเป็นแรงหนุนอยู่เบื้องหลัง

อ้างอิง: