‘เวลา’ ไม่ได้อยู่ข้างใคร และ ‘ความทรงจำ’ อาจตามไปหลอกหลอนตลอดกาล (Anatomy of Time)

3 Min
835 Views
03 Feb 2022

“เป็นเมียนายพลมันทุกข์ทนกว่าที่คิด” 

นั่นคือคำอธิบายแบบสั้นๆ จากปากผู้กำกับ ‘จักรวาล นิธิธำรงค์’ เมื่อพูดถึง ‘เวลา’ หรือ Anatomy of Time ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาที่ออกฉายในไทยปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา และเรื่องราวใน ‘เวลา’ เกือบทั้งหมดก็อุทิศให้กับความทรงจำในช่วงชีวิตของตัวละคร ‘แหม่ม’ ที่เป็น ‘เมียนายพล’ คนหนึ่ง

อาจฟังดูรวบรัดตัดตอน แต่จักรวาลบอกกับวงคุยหลังฉายหนังรอบสื่อจบลงว่าผลงานเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขาอยากพูดถึง ‘แม่’ ของตัวเองบ้าง หลังจากที่ผลงานขนาดยาวเรื่องแรก Vanishing Point ที่ได้รางวัลจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติร็อตเตอร์ดัม หรือ Tiger Award เมื่อปี 2558 เป็นการเขียนบทโดยอ้างอิงเหตุการณ์บางส่วนของชีวิต ‘พ่อ’ 

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ‘เวลา’ จะทำให้คนดูรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังเฝ้ามอง ‘ชีวิตส่วนตัว’ ของใครบางคนอยู่ เพราะจะได้เห็นเรื่องราวของตัวละครหลักอย่าง ‘แหม่ม’ ตั้งแต่สมัยสาวๆ (รับบทโดยประภามณฑล เอี่ยมจันทร์) ซึ่งเคยมีทั้งคนรักและคนที่มารักเธอ ทั้งยังต้องเผชิญกับเหตุการณ์คุกคามในระหว่างที่มีการเขย่าขั้วอำนาจทางการเมืองยุคเปลี่ยนผ่านระหว่างจอมพล ‘สฤษดิ์-ถนอม’ เพราะชะตาชีวิตเธอถูกดึงไปเกี่ยวโยงกับ ‘เสธ.ทหาร’ (วัลลภ รุ่งกำจัด) ซึ่งเคยเป็น somebody ในยุคสมัยหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย 

ภาพความทรงจำของแหม่มในวัยสาวให้ความรู้สึกเหมือนกำลังฟังเรื่องราวจากละครวิทยุ เพราะท่วงทำนองที่บอกเล่าเหมือนการอ่านบันทึกของใครสักคนให้เราฟัง และบางช่วงก็รู้สึกราวกับได้ฟังคำเทศน์ทางศาสนาที่ดูจงใจอย่างมาก แต่เมื่อตัดมาที่ภาพของ ‘แหม่ม’ ในยุคปัจจุบัน (เทวีรัตน์ ลีลานุช) ซึ่งเข้าสู่ช่วงบั้นปลายชีวิต และต้องรับหน้าที่ดูแลสามีซึ่งเลื่อนยศจาก ‘เสธ.’ เป็น ‘นายพล’ มานานแล้ว (โสระบดี ช้างศิริ) แต่ละฉากแต่ละตอนก็เหมือนถูกดึงกลับสู่โลกความจริง ชนิดที่คนมีประสบการณ์เคยดูแลคนป่วยหนักมาก่อนอาจรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลานั้นด้วย เพราะต้องเฝ้ามองร่างกายอันซูบผอมและค่อยๆ หมดสภาพลงไปทุกทีของนายพล จนเหมือนเป็นสนามจำลอง ‘องคาพยพแห่งเวลา’ ที่ทำให้เกิด ‘ความเสื่อมสลาย’ ซึ่งสุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนก็ต้องเผชิญ 

‘เวลา’ จึงไม่ได้อยู่ข้างใครเลยใน Anatomy of Time เพียงแต่ ‘เวลา’ ทำหน้าที่ของมันไปอย่างเงียบๆ คือกัดกร่อนเปลี่ยนผันทุกสิ่งทุกอย่างเป็นวัฎจักร และนำพาบางสิ่งบางอย่างไปสู่จุดแตกดับ 

กรณีของนายพล ‘เวลา’ ค่อยๆ ทวงคืนลมหายใจและกำลังวังชาของเขาไปทีละน้อย แต่กรณีของ ‘แหม่ม’ นั้นบอกได้ยากว่าสิ่งที่ ‘เวลา’ พรากไปจากเธอมีอะไรบ้าง เพราะหลายครั้งที่ภาพในความทรงจำของแหม่มได้พาคนดูย้อนกลับไปยังผู้คนและเหตุการณ์ในอดีตที่ดูเหมือนจะยังฝังใจ และการดูแลนายพลของเธอในปัจจุบันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่านี่คือความรักหรือความผูกพัน และหลายฉากก็อาจทำให้คิดได้ว่าจริงๆ แล้วจิตวิญญาณและชีวิตชีวาของแหม่มอาจจะตายไปก่อนนายพลตั้งนานแล้ว แต่ยังต้องอยู่ต่อไปเพราะ ‘ภาระหน้าที่’ ที่ต้องประคับประคอง 

แม้ผู้กำกับจะบอกว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนใน ‘เวลา’ ไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่อง ทั้งยังมองว่าความขัดแย้งหลายอย่างไม่เคยหายไปไหน แต่ย้อนวนกลับมาซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ จึงไม่อยากแตะต้องประเด็นนี้มากนัก คนดูจึงไม่รู้รายละเอียดในชีวิตของ ‘แหม่ม’ และ ‘นายพล’ แต่ก็รู้สึกได้ว่าชีวิตของพวกเขาทับซ้อนไปกับการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยทางการเมืองอย่างไม่มีทางเลี่ยง เพราะบางฉากบางตอนมีนัยเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์ในอดีตชัดเจน เช่น คลิปกบฏยังเติร์ก เสื้อปักรุ่นเตรียมทหาร หรือโลโก้พรรคการเมืองที่ติดอยู่ตรงร้านชำละแวกบ้าน ไม่ว่าจะจงใจหรือบังเอิญก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็สะท้อนถึงท่าทีที่แตกต่างของผู้คนแวดล้อมซึ่งปฏิบัติต่อนายพลในช่วงท้ายของชีวิต 

ตัวละครบางตัวก็อาจจะหล่นหายไปเฉยๆ ไม่ว่าจะเป็น ‘ลูกชาย’ ที่มีชื่อเหมือนกลุ่มชาติพันธุ์ หรือหญิงสาวที่เคยช่วยแหม่มดูแลนายพล และเคยเอ่ยประโยคสาปแช่งเขาอยู่ข้างหู แต่การหายไปของพวกเขาเหล่านี้ก็อาจจะไม่ได้ทำให้เรารู้สึกสงสัยอะไรมากนัก เพราะ ‘เวลา’ ในเรื่องนี้ไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง แต่เหลื่อมซ้อนทับกันจนคนดูเหมือนติดอยู่ในความทรงจำอันหลอกหลอนของแหม่ม ที่บางครั้งก็ชัดเจน แต่บางครั้งก็ไม่อาจบอกได้ว่าเธอกำลังติดอยู่ในช่วงเวลาไหนของชีวิตกันแน

สิ่งที่เป็นจุดแข็งของ ‘เวลา’ คือการทำให้ผู้เฝ้ามองอย่างเรา ‘รู้สึกรู้สา’ กับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้ว่าจะไม่อาจทำความเข้าใจบริบทแวดล้อมได้เลยก็ตาม และเรื่องราวใน ‘เวลา’ อาจเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวของผู้กำกับ แต่ก็ทำให้คนดูอดตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ว่าทำไมชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งถึงต้องถูกผูกโยงโดยไม่หลุดพ้นจากชายคนหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับอุดมการณ์และสถาบันอันส่งผล ‘อย่างมาก’ ต่อสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมไทยยุคปัจจุบัน 

เรื่องราวของคนๆ หนึ่งจึงอาจไม่ใช่แค่ ‘เรื่องส่วนตัว’ เสมอไป เพราะ ‘เวลา’ นั้นได้เชื่อมโยงทุกอย่างเอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าเราจะรู้ตัวและยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม และเราอีกหลายคนก็คือ ‘แหม่ม’ ที่ถูกผูกโยงกับเหตุและผลของเวลาที่หมุนวนอยู่รอบตัว

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/anatomyoftimefilm/

เรื่อง: ตติกานต์ เดชชพงศ

(ภาพจาก https://www.facebook.com/anatomyoftimefilm/ )