เมื่อเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ที่ในสังคมทั่วไปมักเห็นภาพเพศชายคู่กับเพศหญิงง่ายกว่าเพศอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นเหมือนกรอบที่จำกัด หรือกลายเป็นอุปสรรคต่อความรักและความสัมพันธ์ของกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ
เพราะความรักมีหลายรูปแบบ BrandThink ถือโอกาสชวน ‘อัญโญะ’ ชยพัฒน์ จรกรรณ TikToker ผู้ใช้แฮชแท็ก #ตุ๊ดชอบผู้หญิง มาร่วมแชร์ทัศนคติต่อความรักความสัมพันธ์ในปัจจุบัน ที่เขาไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองว่าเป็นกะเทยหรือตุ๊ดแล้วมีแฟนเป็นผู้หญิง เป็นเรื่องแปลก แต่เขามองว่าความรักเป็นเรื่องของ ‘บุคคลกับบุคคล’ หรือเป็นเรื่องใครรักใครมากกว่า
ทำไมถึงใช้คำจำกัดความตัวเองว่าเป็น ‘ตุ๊ดชอบผู้หญิง’
เอาจริงๆ เรื่องนี้นี่มันตอบได้ง่ายมากเลย แทบจะไม่ยาก คือเรารู้สึกว่าเราไม่ใช่ผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้อยากจะผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นมันจะเรียกว่าผู้ชายไม่ได้ ซึ่งเราก็รู้ตัวเองมาตลอดอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กว่าเราเป็นตุ๊ดนั่นแหละ แต่เราดันเป็นตุ๊ดที่ชอบผู้หญิงเท่านั้นเอง
ในความเข้าใจของทุกคน แม้กระทั่งเราเองในตอนแรกตุ๊ดต้องชอบผู้ชาย ซึ่งพูดตรงๆ ตอนแรกก็ชอบผู้ชาย เพราะอยู่โรงเรียนชายล้วน อยู่กับเพื่อนที่เป็นตุ๊ดอีก 11 คน แม่งชอบผู้ชายหมดเลย เราเลยรู้สึกว่าเออ ใช่ ตุ๊ดต้องชอบผู้ชายสิ จะมาชอบผู้หญิงได้ไง ซึ่งตอนนั้นเวลามองผู้หญิงก็รู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงขนาดต้องชอบอะไร
แต่พอเราได้มาอยู่กับตัวเอง ได้อยู่โรงเรียนสหฯ เจอสังคมที่กว้างมากขึ้น เจอเพื่อนที่เป็นผู้หญิง ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่าเอ๊ะ ตุ๊ดจะต้องชอบผู้ชายอย่างเดียวเหรอ ทำไมเรารู้สึกเฉยๆ กับผู้ชาย แล้วรู้สึกชอบผู้หญิงจังเลยวะ ทำไมถึงอยากเข้าใกล้ อยากคุย อยากเล่นด้วย
เราก็เลยรู้สึกว่าเออเราก็ชอบผู้หญิงได้ เพราะว่าเอาจริงๆ ก็ไม่มีบทความไหน ไม่มีสารานุกรม ไม่มีพจนานุกรมฉบับไหน ที่เขียนว่าตุ๊ดจะต้องชอบผู้ชายเท่านั้น ซึ่งถามว่ามันผิดอะไร เราคิดว่าไม่ผิดอะไร ไม่ได้ทำให้สังคมฟอนเฟะ
รู้ตัวเองตอนไหนว่าเริ่มชอบผู้หญิง
เริ่มจากความรู้สึกว่ามองผู้หญิงแล้วรู้สึกว่าเขาน่ารักจัง อยากเข้าหา แต่ถ้าจะถามว่ามันพัฒนาไปเป็นแบบชอบได้ยังไง น่าจะเริ่มตอนมัธยมฯ ปีที่ 4 จากลองคุยกับผู้หญิงจริงจังมากขึ้น แล้วเรารู้สึกดี อยากคุยไปเรื่อยๆ เลยทำให้เรามั่นใจในตัวเองว่าเราชอบผู้หญิงแน่ๆ
เวลาจะจีบก็จะบอกเลยว่าเราเป็นตุ๊ดนะ แต่ชอบผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงเขาก็ไม่ได้อี๋ หรือกลัวเรา ไม่ได้รู้สึกว่าเราแปลก ไม่มีสักคนเลยที่บอกเราว่าไม่ชอบคุยกับตุ๊ด ทุกคนจะพูดเหมือนกัน “งั้นก็ลองคุยกันไปก่อนดูสิ” ไม่มีใครปิดโอกาส แม้กระทั่งฟ้าเอง (แฟนคนปัจจุบัน) ตอนที่ทักไปจีบก็ลองคุยกัน พอคุยจริงจังก็แฮปปี้ เลยมั่นใจตั้งแต่วันนั้นว่า เราเนี่ยชอบผู้หญิงแล้วแหละ
จากนั้นเราเลยถามตัวเองก่อนว่า แคร์ตัวเองหรือว่าแคร์สังคมมากกว่ากัน มันชัดเจนแล้วว่าเราแคร์ตัวเองมากกว่า เพราะมันคือความสุขของเรา แล้วเราไม่ได้สนใจด้วยว่าคนอื่นจะมองยังไง เพราะต่อให้คนที่เขาไม่เข้าใจ เราอธิบายไปเขาก็ไม่ฟัง ยังไงสิ่งที่เราทำก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อน หรือรบกวนคนอื่นด้วย
เวลาสานความสัมพันธ์กับใคร เคยเจอตั้งคำถามบ้างไหมว่า ทำไมถึงชอบผู้หญิง?
มี มีเยอะ ทุกคนเลยมั้ง เราก็อธิบายไปตามตรงว่าเราเป็นตุ๊ด แต่เราชอบผู้หญิงนะ
เขาก็จะงง เราเลยอธิบายให้เขาฟังว่าเรามีลักษณะภายนอกเป็นแบบนี้ แต่เราชอบผู้หญิงแค่นั้น ถ้าเขาโอเคก็โอเค ไม่โอเคก็ไม่เป็นไร ทำให้ความสัมพันธ์ของเราที่ผ่านมาค่อนข้างไวมาก
ซึ่งจริงๆ ลึกๆ ข้างในเราไม่ได้มองว่าเป็นเพศอะไร เรามองว่าเขาเป็นบุคคลเท่านั้นเอง เลยคิดว่าคำว่า ‘เพศ’ มันเป็นแค่ตัวหนังสือที่เป็นนิยามมาจำกัดความไว้เฉยๆ ว่าคนนี้เป็นเพศอะไร เพื่อที่จะใช้อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายขึ้นมากกว่า ว่าตัวเรามีกายภาพแบบนี้ แต่เราแสดงออกยังไง อย่างเราเนี่ยคือ ตุ๊ดที่ชอบผู้หญิง ชอบการแต่งตัวเหมือนผู้หญิง แต่ไม่มีความคิดจะแปลงเพศเป็นเพศหญิง เพราะเราชอบที่เราเป็นแบบนี้
แล้วตั้งแต่ไปออกรายการ ‘แฟนฉันวัดปะล่ะ’ มา มีคนทักมาเยอะมาก ว่าหนูเป็นตุ๊ดที่ชอบผู้หญิงเหมือนพี่เลย แต่บางคนก็กลัวโดนหาว่าแปลก แต่เราเป็นคนประเภท ‘ช่างแม่ง’
เคยมีความกลัวในใจบ้างไหม ว่าเขาจะไม่ชอบในแบบที่เราเป็น
ถามว่ากลัวไหมเหรอ กลัวแหละแต่กล้ามากกว่า กลัวว่าเขาจะไม่ชอบเราหรือเปล่า แต่พอกล้ามากกว่าก็เลยกลบความกลัวไปหมด
สมมติเราไปเจอคนที่ชอบมากๆ เราก็จะพยายามทำให้เขาชอบเรา มั่นไปเลยว่าเราทำเต็มที่ เรามีความเชื่อว่าถ้าไม่ทำอะไรเลย ผลลัพธ์คือศูนย์ แต่ถ้าทำ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังดีได้ 10 อาจจะพัฒนาไปเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ อย่างแฟนคนนี้ก็มีแฟนเป็นผู้ชายมาตลอด ไม่เคยชอบตุ๊ด แต่เรากล้าที่จะเสี่ยง
หลังจากที่นิยามตัวเองว่าเป็นตุ๊ดชอบผู้หญิง ครอบครัว คนรอบตัวคุณ มีความเห็นอย่างไรบ้าง
เราโชคดีที่อยู่ในสังคม สภาพแวดล้อมที่น่ารัก ครอบครัวเราโอเค ทุกวันนี้แม่ก็ยังบอกเลยว่าเราอะเป็นผู้ชาย เราก็จะบอกว่า เฮ้ย! เราเป็นตุ๊ด แต่เขาก็ยังแฮปปี้ในแง่ที่เรามีหลานให้เขาได้ ส่วนกลุ่มเพื่อนๆ ก็น่ารัก อยู่ด้วยกันมานานจะพูดติดตลกว่าดีแล้ว ได้ตัดคู่แข่งไปคนหนึ่ง มันเลยเป็นมุมที่มีความสนุกสนานมากกว่าการถูกบูลลี่
ครอบครัวแฟนเอง ถึงตอนแรกจะสงสัยบ้างว่ามาชอบลูกสาวเขาได้ยังไง แต่พอนานๆ เข้า พวกเขาเห็นว่าเราดูแลลูกสาวเขาได้ พวกเขาก็เริ่มยอมรับมากกว่า จนพูดตรงกันว่า “ถ้าลูกเขาอยู่กับใครสบายก็แฮปปี้ รักใครก็รักด้วย” ตอนนี้เลยรู้สึกเหมือนเรามีอีกครอบครัวหนึ่งไปแล้ว
ด้านคนที่ติดตามเราบนโซเชียลฯ ก็ไม่มีแอนตี้เลย ไม่เคยเจอแบบมึงมันตอแหล เพราะเท่าที่อ่านคอมเมนต์มาแทบจะ 90 เปอร์เซ็นต์เลยที่เป็นไปในทางบวก อาจจะมีบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่ในทางลบซะทีเดียว ส่วนใหญ่เป็นคำถามมากกว่า ซึ่งเราก็จะบอกตรงนี้ ยื่นคำขาดว่าเราเป็นตุ๊ด เราไม่ได้เพิ่งมาแสดงออกแบบนี้ แค่ปีสองปี เราเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อายุ 16 จนตอนนี้ 23 ปี
บางคนเขาจะมองว่าเป็นแค่การแสดง เป็นคอนเทนต์ หรือจริงๆ ก็แค่ผู้ชายออกสาว
โอ๊ย… (ลากเสียงยาว) ถ้าแสดง เราเก่งมากนะ แอ๊บมายี่สิบกว่าปีได้ แต่ถ้าทุกคนรู้จักเราจริงๆ เห็นโซเชียลมีเดียต่างๆ ของเรา มันดูออกว่าไม่ใช่การแสดง มันคือเรื่องจริง ใครจะเฟคได้ตลอดเวลา แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องไปบอกทุกคนว่านี่แฟนฉัน มันไม่ใช่คอนเทนต์ เพราะคนรอบตัวจะรู้ว่าคู่เราจริงจัง ถึงขั้นคุยกันเรื่องแต่งงาน มีลูก ซื้อบ้าน ไม่ใช่แค่คบแล้วก็เอ้ย! น่ารักจังเลย ถ่ายคอนเทนต์กันเถอะ มันเป็นเรื่องชีวิตคู่แล้ว
ส่วนคนที่บอกว่าเราเป็นผู้ชายนั่นแหละ แค่ตุ้งติ้ง พูดค่ะ นะคะ จะบอกว่าจริงๆ ตุ๊ดไม่ได้แบบดูหนังแล้วฉันอยากเป็นตุ๊ดตามเขา คือมันจะรู้ตั้งแต่เด็กเลยว่าเราไม่ใช่ผู้ชาย ชอบใส่รองเท้าส้นสูงเดินในบ้าน ชอบเอาลิปสติกมาทาเล่น เหมือนเกิดมาก็คือ Born to be a ตุ๊ดเลย 100 เปอร์เซ็นต์ คือทั้งวันจะเห็นการแสดงออกหมดเลยว่าเราเป็นตุ๊ด
ถ้าเกิดวันหนึ่งเจอคอมเมนต์ต่อว่าด่าทอ ว่านำเรื่องเพศมาสร้างกระแส?
เราห้ามไม่ได้หรอก ที่จะให้คนมาชอบหรือไม่ชอบ ความคิดคนเราร้อยแปดพันเก้า มีทั้งคนที่พร้อมรับฟัง แล้วก็มีคนที่ไม่ได้อยากรู้ แต่อยากป่วน อยากแซะ เห็นแล้วหงุดหงิด คนแบบหลังนี้ เราจะไม่ค่อยอยากคุย หรืออยากอธิบายอะไรให้พวกเขาฟัง เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับเราอาจเป็นเรื่องการรักษาตัวตนมากกว่า
ซึ่งเราจะสนใจคนที่ด่าก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเกิดสมมติมาด่าว่า “ไอ้ตุ๊ด มึงอะตอแหล ที่จริงมึงชอบผู้ชาย แต่มาทำคอนเทนต์กับผู้หญิง” เราก็จะปล่อยไป เพราะไม่รู้จะสนใจหรือเก็บมาใส่ใจทำไม เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง
แล้วส่วนตัวมองว่าความสัมพันธ์ของตัวเองเป็นรูปแบบไหน
เหมือนความสัมพันธ์คู่อื่นเลย เราคุย ดูแล ง้อ งอน มีทะเลาะกันเป็นปกติ อาจจะแค่มีความสามารถพิเศษที่แตกต่างกันกว่าคู่คนอื่น เช่น เราไปทำเล็บเป็นเพื่อนแฟน เครื่องสำอางใช้ด้วยกันได้ เสื้อผ้าใส่ด้วยกันได้ แม้กระทั่งรองเท้าก็ใส่ด้วยกันได้ กระเป๋าของฟ้าเราก็ถือมาหมดทุกใบแล้ว
แต่ก็มีบางช่วงแหละที่ต้องปรับจูน ปรับตัวกันไป เพราะความสัมพันธ์เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้การได้เป็นตัวของตัวเองทั้งคู่มันสบายใจแล้ว ไม่ต้องพยายามอะไรมาก
คุณคิดอย่างไร ถ้ามีคนบอกว่าวันนี้ชอบผู้หญิง เดี๋ยวก็กลับไปชอบผู้ชาย
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก แต่เราพูดตามตรงเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่รู้ตัวเองว่าตอนนี้เรามีแฟนแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็รักเขาที่เป็นแบบนี้ ชอบที่ตัวบุคคลมากกว่า เกิดวันหนึ่งจะกลับไปชอบผู้ชายก็ไม่ผิดอะไร มันน่าจะอยู่ที่ตอนนั้นสถานะเรากับเขาเป็นอย่างไร สมมติถ้าเราตอบแบบไม่มีทางชอบผู้ชายหรอก จะชอบผู้หญิงตลอดไป แล้วอนาคตเกิดเลิกกัน แล้วไปชอบคนคนหนึ่งที่เป็นผู้ชาย ก็จะเจอว่า “อ้าว อีนี่ตอแหล” ทั้งๆ ที่ความชอบมันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ เราเลยต้องอยู่กับโลกความเป็นจริง
ในอนาคตหากคบกับแฟนคนนี้ไปจนถึงวันที่มีลูก คุณคิดว่าจะคุยกับลูกอย่างไร ภายใต้สังคมที่ลูกคุณอาจโดนล้อว่ามีพ่อเป็นตุ๊ด
เรารู้สึกว่าถ้าเลี้ยงลูกให้ได้ดี จนเขาไม่รู้สึกขาดอะไร เขาก็น่าจะแฮปปี้ ถึงแม้อาจจะมีคำถามบ้าง ทำไมพ่อแสดงออกแบบนี้ เราก็พร้อมที่จะอธิบายให้ลูกได้เข้าใจก่อน แล้วจะคอยดูแลสร้างเขาให้มีภูมิคุ้มกัน สามารถรับมือกับสังคมที่อาจถูกบูลลี่ได้ ทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่เป็นพื้นที่ปลอดภัย สามารถคุย ปรึกษาได้ทุกเรื่อง จนเขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว ซึ่งเชื่อว่าเราจะทำให้ลูกเข้าใจในตัวเราได้จริงๆ