Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore (2022) แผลที่ใหญ่ที่สุดและรากฐานความบิดเบี้ยวในเนื้องานล้วนมาจาก ‘บทหนัง’ ทั้งสิ้น
ในบรรดาแฟรนไชส์ Fantastic Beasts ทั้ง 3 ภาค อาจจะนับได้ว่า The Secrets of Dumbledore (2022) ซึ่งเป็นหนังลำดับที่ 3 นี้วายป่วงตั้งแต่ขั้นตอนก่อนถ่ายทำ ภายหลังสตูดิโอวอร์เนอร์บราเธอร์ส ตัดสินใจถอด จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ออกจากบท กรินเดลวัลด์ (Grindelwald) พ่อมดจอมโฉดในแฟรนไชส์ตั้งแต่ปลายปี 2020 จากเหตุข้อพิพาทกับหนังสือพิมพ์เครือนิวกรุ๊ป ซึ่งพาดหัวว่าเดปป์ทำร้ายร่างกาย แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard) อดีตภรรยา (ที่กำลังขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่ในเวลานี้) จนเดปป์ฟ้องเพราะไม่เป็นความจริง ยังผลให้กลายเป็นคดีสืบเนื่องลากยาวต่อมา และวอร์เนอร์บราเธอร์สก็ตัดสินใจปลดเดปป์ออกจากหนังท่ามกลางสายตากังขาของหลายๆ คน และแทนที่ด้วย แมดส์ มิคเคลเซน (Mads Mikkelsen) นักแสดงชาวเดนมาร์กจาก Casino Royale (2006), Hannibal (2013-2015)
อย่างไรก็ดี ความวุ่นวายอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนตัวนักแสดงซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้ากระบวนการถ่ายทำนั้น ก็คงไม่ได้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ The Secrets of Dumbledore อ่อนปวกเปียกอย่างน่าเหลือเชื่อ และประเด็นนี้คงไม่อาจโทษอะไรได้นอกเสียจากฝีมือการเขียนบทของ เจ.เค. โรว์ลิง (J.K. Rowling) ผู้ให้กำเนิดโลกผู้วิเศษอันน่ามหัศจรรย์ผ่านวรรณกรรมชุด Harry Potter และขยายจักรวาลออกมาเป็น Fantastic Beasts ที่เธอลงมือเขียนบทเองทั้ง 3 ภาค และหลังจากที่โซโล่เขียนบทคนเดียวใน The Crimes of Grindelwald (2018) จนโดนสาปยับว่าเล่าเรื่องได้พังพินาศอย่างยิ่ง ภาคนี้โรว์ลิงก็ได้ สตีฟ โคลฟส์ (Steve Kloves) มือเขียนบทจากแฟรนไชส์ Harry Potter มาร่วมงานด้วย… แต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
นิวต์ สคามันเดอร์ (เอ็ดดี เรดเมย์น – Eddie Redmayne ซึ่งในแฟรนไชส์นี้ควรจะมีบทบาทมากที่สุด แต่เส้นเรื่องของเขากลับจางจืดลงไปทุกทีๆ) กำลังทำคลอดกิเลน -สัตว์วิเศษที่ขึ้นชื่อเรื่องเห็นคุณงามความดีในจิตวิญญาณของมนุษย์- โดยหลังจากให้กำเนิดลูกกิเลนออกมาตัวหนึ่ง นิวต์ก็พบว่าเขากับเหล่ากิเลนถูกกลุ่มพ่อมดของกรินเดลวัลด์ตามล่า ด้วยการสังหารกิเลนตัวแม่และชิงตัวกิเลนน้อยที่เพิ่งเกิดแล้วจากไป โดยไม่รู้เลยว่ากิเลนนั้นให้กำเนิดลูกแฝดซึ่งนิวต์รับอีกตัวหนึ่งมาดูแลในเวลาต่อมา
พร้อมกันนั้น หนังก็เล่าความสัมพันธ์ของ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ (จูด ลอว์ – Jude Law) กับกรินเดลวัลด์ในฐานะคนรักที่จำต้องแยกจากกันอันเนื่องมาจากอุดมการณ์ทางการเมืองหันเหไปคนละเส้นทาง เมื่อตัวกรินเดลวัลด์นั้นหวังเปิดศึกกับมนุษย์และสร้างเผ่าพันธุ์ผู้วิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ดัมเบิลดอร์หวังอยากประสานโลกทั้งสองไว้ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ไม่อาจห้ำหั่นกันและกันได้เพราะติดพันธะสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน ส่งผลให้ดัมเบิลดอร์ต้องขอความช่วยเหลือจากนิวต์ ให้เป็นผู้ยับยั้งการเถลิงสู่อำนาจของกรินเดลวัลด์แทน ภายใต้บรรยากาศที่โลกผู้วิเศษกำลังจะจัดการเลือกตั้งผู้นำของสมาพันธ์พ่อมดแม่มดนานาชาติ (International Confederation of Wizards) และกรินเดลวัลด์ใจจดใจจ่อจะชนะการเลือกตั้งนี้เพื่อดึงเอาผู้วิเศษที่มีแนวคิดเดียวกันกับตนมารวมเป็นหนึ่ง และดำเนินแผนการเปิดศึกกับมนุษย์ในลำดับถัดไป
ในบรรดาหนังแฟรนไชส์จักรวาลผู้วิเศษของโรว์ลิง ‘เดวิด เยตส์’ (David Yates) คือผู้กำกับขาประจำที่ร่วมงานด้วยกันมาตั้งแต่ Harry Potter and the Order of the Phoenix (2007) ก็อาจจะพูดได้ว่า เขาเป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจโลกพ่อมดแม่มดของโรว์ลิงได้ดีมากๆ หากแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโลกที่เขาสรรค์สร้างผ่านภาพยนตร์จะมหัศจรรย์อย่างในหน้ากระดาษของโรว์ลิง เพราะหลังจากดูงานกำกับของเยตส์หลายต่อหลายหนแล้ว คงไม่เกินเลยนักหากจะบอกว่าเขาเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องได้ตามมาตรฐาน หากแต่ก็ขาดเสน่ห์จนชวนใจหาย อันจะเห็นได้จากความแพรวพราวของแฟรนไชส์ Harry Potter ที่ลดหายไปมากโขทันทีที่เขาเข้ามากำกับ ซึ่งหากจะพูดกันอย่างให้ความยุติธรรมแล้ว การกล่าวหาเขาแต่เพียงอย่างเดียวอาจใจร้ายไปมากพอสมควร เพราะแผลที่ใหญ่ที่สุดและเป็นรากฐานของความบิดเบี้ยวต่างๆ ในเนื้องาน ล้วนมาจากบทหนังทั้งสิ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือในบรรดาแฟรนไชส์ทั้ง 3 ภาค The Secrets of Dumbledore ดูจะคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายทางการเมืองชัดเจนมากที่สุด ผ่านเส้นเรื่องบรรยากาศการเลือกตั้งและท่าทีของผู้นำสมาพันธ์ฯ ต่อเส้นแบ่งทางความขัดแย้งต่างๆ อันตอน โฟเกิล (โอลิเวอร์ มาซูชี – Oliver Masucci) ผู้นำคนก่อนจากกระทรวงเวทมนตร์เยอรมนี พยายามประนีประนอมต่อความต้องการของพ่อมดแม่มดที่สนับสนุนแนวคิดของกรินเดลวัลด์ ด้วยการให้กรินเดลวัลด์ -ซึ่งมีคดีติดตัวอยู่- ลงสมัครเลือกตั้งได้ แม้จะมีความเสี่ยงอยู่ว่าหากกรินเดลวัลด์ชนะ สงครามจะระเบิดตัวขึ้นในโลกผู้วิเศษเองก็ตามที
แต่แทนที่หนังจะมุ่งจับจ้องไปยังการขับเคี่ยวกันของผู้ลงสมัคร หรือความบ้าคลั่งของกลุ่มคนที่สนับสนุนแนวคิดของกรินเดลวัลด์ หนังกลับไปเทน้ำหนักให้ กิเลน สัตว์วิเศษที่เชื่อกันว่ามองเห็นความดีงามในจิตวิญญาณของผู้คน หากว่ากิเลนเดินไปค้อมคำนับให้ผู้ลงสมัครเลือกตั้งคนไหน แปลว่าผู้สมัครคนนั้นย่อมเป็น ‘คนดี’ ที่เชื่อถือได้ (!!) และนี่เองที่เป็นแผลใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ เพราะถึงที่สุดแล้วมันวนกลับมายังเรื่องธรรมะกับอธรรมโดยไม่ได้พิสูจน์แต่อย่างใดว่า แล้วอะไรที่ทำให้แนวคิดของกรินเดลวัลด์มันผิด (หรืออยู่ฝ่ายอธรรม) ทั้งยังสะท้อนฝีมือการเขียนบทอันอ่อนปวกเปียกเสียจนไม่อาจอธิบายความบ้าคลั่ง ความผิดเพี้ยนของกรินเดลวัลด์และผู้สนับสนุนของเขาได้ทั้งที่มีเวลาตั้ง 2 ชั่วโมงครึ่งในการชำแหละประเด็นนี้ จนต้องใช้เงื่อนไขที่เป็นเสมือนการ ‘กดสูตรลัด’ อย่างการให้กิเลนผู้เป็นตัวแทนของความดีงามทั้งปวงมาตัดสิน ซึ่งชวนให้ตั้งคำถามว่าถึงที่สุดแล้วผู้วิเศษจะเลือกตั้งไปทำไมกัน นโยบายต่างๆ ของผู้ลงสมัครสำคัญตรงไหนหากว่าถึงที่สุดแล้วเราจะวัดกันที่ ‘ความดี’ (แถมยังผ่านสายตาของกิเลนด้วยนะ)
ความอ่อนปวกเปียกของบทยังสะท้อนผ่านการทิ้งๆ ขว้างๆ ตัวละครในเรื่องอย่างไม่น่าให้อภัย ไม่ว่าจะตัวละคร ทีนา โกลด์สตีน (แคเธอรีน วอเตอร์สตัน – Katherine Waterston) มือปราบที่นิวต์มีความรู้สึกพิเศษให้ ก็ออกมาเพียง 2 ฉากสั้นๆ นับรวมเวลาไม่เกิน 3 นาทีบนจอใหญ่ (ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นที่กระบวนการถ่ายทำหรือเป็นที่บท) เหนืออื่นใดคือ ครีเดนซ์ (เอซรา มิลเลอร์ – Ezra Miller) ตัวละครแสนเปราะบางและน่าเห็นใจมากที่สุดในแฟรนไชส์ ผู้เป็นหนึ่งในคนที่ขับเคลื่อนเส้นเรื่องหลักมาตั้งแต่ Fantastic Beasts and Where to Find Them (2016) และ The Crimes of Grindelwald (2018) ก็ถูกบอกเล่าอย่างขาดๆ เกินๆ ยิ่งกับช่วงองก์ท้ายของเรื่องที่ดูราวกับคนเขียนบทหาทางลงให้ตัวละครไม่ได้ จึงตัดจบอย่างห้วนๆ และแทบไม่สร้างอารมณ์ร่วมให้แก่คนดูเลย
ย้อนกลับไปยังปี 2014 ที่สตูดิโอวอร์เนอร์บราเธอร์ส ประกาศว่าอย่างน้อยที่สุด ก็อยากสร้างแฟรนไชส์ Fantastic Beasts นี้ให้เป็นไตรภาค และหากมันได้รับความนิยมก็อาจสร้างมากกว่านั้น ซึ่งถึงเวลานี้ก็อาจพิสูจน์ได้แล้วว่า การดันทุรังสร้างมาถึง 3 ภาคนี้ก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการพยายามขยายจักรวาลผู้วิเศษของสตูดิโอ
เรื่อง: Man on Film