ย้อนรอยประวัติศาสตร์ห้องน้ำ ‘ไม่แยกเพศ’ และเมื่อการ ‘แยกเพศ’ ห้องน้ำ เกิดจากการต่อสู้ของเฟมินิสต์รุ่นแรกๆ

5 Min
171 Views
30 Jul 2024

ทุกวันนี้เราอาจจะได้ยินกระแสเรื่องห้องน้ำไม่แบ่งเพศกันมากขึ้น ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะห้องน้ำแบบไม่แบ่งแยกเพศที่เป็นห้องน้ำสาธารณะเป็นแนวคิดใหม่ที่เพิ่งเกิดในศตวรรษที่ 21 และแพร่กระจายมากในโลกตะวันตกในช่วงทศวรรษ 2010 และได้สร้างข้อถกเถียงต่างๆ ขึ้นมากมาย

แต่ก่อนจะแสดงความเห็นอะไรในประเด็นนี้ เราน่าจะต้องย้อนไปดูต้นตอของการแบ่งเพศห้องน้ำกันก่อน

ในอดีตสิ่งที่เรียกว่า ‘ห้องน้ำ’ หรือ ‘ห้องส้วม’ มันไม่มีในสารบบของสังคมส่วนใหญ่ในโลก การขับถ่ายทั่วๆ ไปก็คือการออกไปขับถ่ายตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นตามท้องทุ่ง ในป่า ฯลฯ โดยเป็นเรื่องที่ปฏิบัติกันทุกเพศทุกวัย หรือเต็มที่สำหรับคนแก่ที่ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ เขาก็จะใช้ตัวช่วยเพื่อให้ขับถ่ายในบ้าน ซึ่งเป็นระบบที่เหล่าชนชั้นสูงในอดีตใช้กันเป็นปกติ

การเกิดขึ้นของห้องน้ำมาพร้อมๆ กับสังคมเมืองสมัยใหม่ที่คนส่วนใหญ่ต้องห่างจากธรรมชาติ โดยทั่วไปสถานที่ต่างๆ ก็จะจัดพื้นที่เอาไว้ให้สำหรับ ‘ถ่ายหนัก’ เพราะเขาถือว่าการถ่ายเบาสามารถไปทำตามมุมตึกที่ไหนก็ได้ แต่การถ่ายหนักมันทำแบบนั้นไม่ได้

อ่านมาถึงตรงนี้ ก็อาจสงสัยว่าแล้วผู้หญิงในเมืองสมัยก่อนก็ต้องไปถ่ายเบาตามมุมตึกเหรอ? 

คำตอบคือไม่ใช่ โดยทั่วไปไม่มีผู้หญิงที่จะไปขับถ่ายแบบนั้น นั่นหมายถึงผู้หญิงไม่มีสถานที่ขับถายในที่สาธารณะ และสังคมตะวันตกสมัยก่อนก็ไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะเขาเชื่อว่าผู้หญิงควรจะอยู่บ้าน หรือพูดง่ายๆ ก็คือเขาคิดว่าผู้หญิงจะต้องขับถ่ายเฉพาะที่บ้านเท่านั้น จึงไม่ได้มีการจัดห้องน้ำสาธารณะให้ผู้หญิง

แต่ที่ต้องเข้าใจอีกประการก็คือ ในยุคนี้ ห้องน้ำสาธารณะที่เกิดขึ้น ในทางเทคนิคก็เป็น ‘ห้องน้ำไม่แบ่งเพศ’ ใครจะเข้าไปใช้ก็ได้ และไม่ได้ห้ามผู้หญิงเข้า แต่ด้วยวัฒนธรรมของโลกตะวันตกราวศตวรรษที่ 18-19 มันเป็นสิ่งที่ไม่งามที่ผู้หญิง (โดยเฉพาะสุภาพสตรี) จะเข้าไปขับถ่ายในห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งคิดง่ายๆ ก็คือ ผู้หญิงยุคนั้นก็คงอายหากต้องไปใช้ห้องน้ำที่ปกติมีแต่ผู้ชายเข้า แค่เดินเข้าไปคนก็มองแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นในโลกตะวันตกช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่ผู้หญิงเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น เพราะการปฏิวัติอุตสาหกรรมต้องการแรงงาน และในยุคนี้เองที่ผู้หญิงที่ทำงานในโรงงานเริ่มออกมาโวยว่าการต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้ชายที่โรงงานทำให้พวกเธอรู้สึกไม่ปลอดภัย และยุคนี้เองที่ห้องน้ำหญิงเริ่มเกิดขึ้นตามโรงงานต่างๆ

ในยุคเดียวกันนี้ในโลกตะวันตก ก็เป็นยุคที่ผู้หญิงเรียกร้องให้ตนมีสิทธิ์เลือกตั้งได้อย่างผู้ชายเช่นกัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือสิทธิ์ในการมีห้องน้ำใช้ในที่สาธารณะอย่างปลอดภัยของผู้หญิง มาพร้อมๆ กับสิทธิ์ในการเลือกตั้งนั่นเอง และนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เกิดพร้อมกัน เพราะทั้งหมดมันเกิดขึ้นภายใต้สำนึกด้านสิทธิของผู้หญิงที่มากขึ้น ไม่ว่านั่นจะเป็นสิทธิ์ในการมีห้องน้ำใช้อย่างปลอดภัยนอกบ้าน หรือจะเป็นสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

โดยความเปลี่ยนแปลงก็ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงศตวรรษที่ 20 สงครามโลก 2 ครั้งทำให้แรงงานผู้ชายขาดแคลน และทำให้ผู้หญิงได้รับการยอมรับในอาชีพต่างๆ มากขึ้น ทำให้พวกเธอเข้าสู่ตลาดแรงงานเท่าเทียมกับผู้ชายอย่างสมบูรณ์ การมีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเงินมากขึ้นของผู้หญิงขยายตัวไปพร้อมกับชีวิตสาธารณะของพวกเธอ ทำให้พื้นที่สาธารณะต่างๆ ต้องคิดรวมไปถึงการมีผู้หญิงมาร่วมใช้ด้วย และพวกห้างร้านและสถานที่ราชการต่างๆ ก็เริ่มมีห้องน้ำหญิงกันเป็นเรื่องปกติ

ต่อมากลางๆ ศตวรรษที่ 20 ก็แทบจะเป็นมาตรฐานด้านกฎหมายอาคารทั่วโลกแล้วว่าจะต้องมีข้อกำหนดด้านห้องน้ำให้ทุกๆ ที่มีสัดส่วนห้องน้ำหญิงและชายอย่างเหมาะสม ซึ่งทั่วไปก็หมายถึงการมี ‘โถปลดทุกข์’ ขั้นต่ำจำนวนเท่าๆ กันในห้องน้ำหญิงและชาย เช่น ในโรงงานขนาดเล็กที่มีพนักงานชาย 30 คน หญิง 30 คน ห้องน้ำชายอาจต้องมีโถฉี่ขั้นต่ำ 2 โถ โถส้วมขั้นต่ำ 2 โถ ส่วนห้องน้ำหญิงก็ต้องมีโถส้วมขั้นต่ำ 4 โถ เป็นต้น โดยของไทยข้อกำหนดเหล่านี้สามารถหาอ่านได้ตามกฎกระทรวงต่างๆ เช่น ของกระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย 

นี่อาจทำให้หลายคนรู้สึกว่าการต่อสู้เพื่อห้องน้ำน่าจะจบแล้ว แต่จริงๆ มันยังไม่จบ

หลังจากการกำหนดให้มีห้องน้ำหญิงเท่าๆ กับชายตามกฎหมายเพื่อให้ผู้หญิงมีห้องน้ำใช้แล้ว คนก็เริ่มสังเกตว่าปกติคิวห้องน้ำชายจะว่าง แต่คิวห้องน้ำหญิงจะยาวกว่าตลอด กรณีนี้ในไทยเราก็เห็นจนปกติเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นตามห้างสรรพสินค้าช่วงวันหยุดหรือตามอีเวนต์ต่างๆ 

หลังจากมีการสังเกตแบบนี้ จึงเริ่มรณรงค์ว่า ‘ความเท่าเทียม’ ของห้องน้ำ ไม่ใช่แค่ต้องมีจำนวนโถปลดทุกข์เท่าๆ กันของในห้องน้ำชายและหญิงเท่านั้น แต่เนื่องจากในความเป็นจริงผู้หญิงมักใช้ห้องน้ำนานกว่า ดังนั้นจำนวนโถในห้องน้ำหญิงควรจะมีมากกว่า เพื่อให้ระยะเวลาการรอใช้ห้องน้ำเฉลี่ยของหญิงและชายเท่าๆ กัน โดยในอเมริกาไอเดียนี้ถูกแปลงเป็นกฎหมายแล้วในรัฐแคลิฟอร์เนียตั้งแต่ทศวรรษ 1980 และที่จริงในหลายพื้นที่ในโลกปัจจุบัน ก็เริ่มมีวิธีคิดในการสร้างห้องน้ำแบบนี้แล้วโดยไม่ต้องให้รัฐมาบังคับ เพราะมันสมเหตุสมผลกว่าจากมุมของผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้หญิง

แต่นั่นก็ยังไม่จบเรื่อง เพราะในศตวรรษที่ 21 ไอเดียเรื่องสิทธิกลุ่ม LGBTQ+ เริ่มขยายตัวขึ้นมาก และพอคนกลุ่มนี้ได้รับการยอมรับทางสังคมมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเรียกร้องก็คือ ห้องน้ำที่พวกเขาสามารถเข้าไปใช้ได้อย่างมีศักดิ์ศรี

แต่ในบางครั้งก็อาจจะรู้สึกผิดที่ผิดทางอยู่บ้างเวลาเข้าห้องน้ำในที่ต่างๆ  เพราะเข้าห้องน้ำหญิงก็โดนเพ่งเล็ง เข้าห้องน้ำชายเองก็เสี่ยงต่อการโดนละเมิด 

เราจึงเริ่มเห็นภาพของ ‘ห้องน้ำไม่แบ่งเพศ’ กันมากขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นคือห้องน้ำชนิดใหม่นี้เกิดขึ้นในโลกตะวันตกอย่างมหาศาลในทศวรรษ 2010 โดยพื้นที่ใหญ่ที่ห้องน้ำแบบนี้ขยายตัวมากๆ คือตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ก่อนที่บรรดาภาคธุรกิจต่างๆ จะเริ่มทำห้องน้ำแบบนี้ตาม

ทำให้ปัจจุบันในหลายๆ สังคม ห้องน้ำแบบนี้คือเรื่องปกติแบบไม่ต้องมาเถียงอะไรกันอีกว่าควรจะมี แต่ในอีกหลายสังคมที่ยังเคยชินกับห้องน้ำแบบแบ่งเพศอยู่ ก็จะรู้สึกว่าการสร้างห้องน้ำแบบรวมเพศ ไม่ใช่สิ่งที่พึงประสงค์

ความน่าสนใจคือ ข้อโต้แย้งส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งผู้หญิงที่ไม่อยากใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้ชาย ซึ่งทั่วโดยไปพวกเธอก็ไม่ได้ให้เหตุผลละเอียดว่าทำไมถึงไม่อยากใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้ชาย แต่ถ้าหากพยายามจะเข้าใจพวกเธอสักหน่อยก็เข้าใจเหตุผลไม่ได้ยาก เพราะในห้องน้ำหลายๆ ประเทศที่มาตรฐานด้านอนามัยและความสะอาดไม่ได้สูงนัก มันสมเหตุสมผลมากที่ผู้หญิงจะไม่อยากใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้ชาย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือห้องน้ำที่ผู้ชายใช้มัน ‘สกปรก’ สุดๆ ซึ่งสำหรับผู้หญิงแล้วไม่ใช่แค่เรื่องของความสะอาดในทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเรื่องสุขอนามัยในทางกายภาพอีกด้วย เพราะอย่างน้อยถ้าพวกเธอต้องขับถ่ายในพื้นที่สกปรก ก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ ได้ โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และนี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้ชายไม่เข้าใจ 

หลายคนอาจงงว่าแล้วผู้หญิงรู้ได้ยังไงว่าห้องน้ำผู้ชายสกปรก คำตอบง่ายๆ คือ ในสังคมมันมีหลายพื้นที่ที่มีห้องน้ำแบบไม่แบ่งเพศอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในรถไฟหรือตามร้านอาหารเล็กๆ ที่เป็นตึกแถว และพื้นที่เหล่านี้ก็ทำให้ผู้หญิงตระหนักดีว่าห้องน้ำที่ใช้ร่วมกับผู้ชายนั้นสกปรกแค่ไหน และอะไรจะเกิดขึ้นถ้ายุบห้องน้ำชายและหญิงมารวมกันเป็นห้องเดียว 

ถ้ายังไม่เชื่อ จริงๆ แล้วในโลกตะวันตกเขามีงานศึกษาความสะอาดของห้องน้ำกันเลย และพบว่าห้องน้ำไม่ระบุเพศ มีความสกปรก หรือมีทั้งจำนวนและความหลากหลายของเชื้อโรคมากกว่าทั้งห้องน้ำชายและหญิงในโรงพยาบาลเดียวกันด้วยซ้ำ โดยนักวิจัยก็อาจพูดแทนใจผู้หญิงหลายๆ คนว่า การที่ผู้ชายมาใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้หญิงมันต้องสกปรกมากขึ้นอยู่แล้ว เพราะปกติผู้หญิงจะมีนิสัยรักษาความสะอาดก่อนออกจากห้องน้ำ แต่ผู้ชายไม่เป็นแบบนั้น และยังไม่นับว่าผู้ชายไม่ชอบล้างมือเมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยอีกด้วย และนี่คืองานศึกษาที่ถูกนำเสนอในงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านโรคติดเชื้อ สดๆ ร้อนๆ ต้นปี 2024 ที่ผ่านมา

อ้างอิง