อนาคตของการช้อปปิ้งออนไลน์ กับบรรทัดฐานการส่งสินค้าที่ต้องใส่ใจปัญหาโลกร้อนมากยิ่งขึ้น

3 Min
405 Views
18 Apr 2022

เดิมทีในช่วงที่การซื้อของออนไลน์เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จัก ธุรกิจนี้ถูกมองว่าจะมีส่วนสำคัญในการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการใช้รถยนต์ ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

แต่ไปๆ มาๆ พอธุรกิจเริ่มเติบโต ก็กลายเป็นเรื่องกลับตาลปัตร เมื่อผู้ซื้อเริ่มสนุกสนานกับการกดปุ่มสั่งซื้อ และเริ่มคาดหวังกับระบบขนส่งที่ว่องไว ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกละเลย

ในปัจจุบันพบว่า การขนส่งสินค้าทั่วโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ราว 8 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะการขนส่งระยะทางสุดท้าย (จากจุดจ่ายสินค้าไปยังบ้านเรือน) และจากแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคและการเติบโตของการสั่งซื้อของออนไลน์ World Economic Forum ประมาณการว่า ภายในปี 2030 จะมียานพาหนะขนส่งเพิ่มขึ้น 36 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะเพิ่มการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะขนส่งประมาณ 1 ใน 3

รวมถึงยังเพิ่มความแออัดให้กับท้องถนน เพิ่มเวลาการเดินทางให้กับผู้คน ซึ่งผลลัพธ์ก็หมายถึงการเพิ่มปริมาณคาร์บอนฯ เข้าไปอีกต่อหนึ่ง

ปัญหาที่ว่ามานี้ไม่ได้ไร้หนทางแก้ไข ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าภาคธุรกิจ (และเรา) พร้อมจะปรับตัวหรือยัง (ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศเน้นย้ำมากในรายงานวิกฤตโลกร้อนของ IPCC ทุกฉบับ)

และนี่คือตัวอย่างแนวทางการปรับตัวที่สามารถลงมือทำได้เลย

ใช้ยานพาหนะไฟฟ้า

การหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าระหว่างจุดแจกจ่ายพัสดุไปยังบ้านเรือนผู้คน คาดว่าจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 60 เปอร์เซ็นต์ ตามรายงานของ World Economic Forum ตอนนี้เองก็เริ่มมีหลายบริษัทหันมาปรับเปลี่ยนบริการนี้แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับที่เมืองใหญ่ๆ ในยุโรปเริ่มสร้างเขตปลอดมลพิษไปแล้ว มันจึงเหมือนการบังคับกลายๆ ว่า ถึงเวลาที่ทีมงานขนส่งของต้องเริ่มเปลี่ยนตัวเองได้แล้ว และการขนส่งยังหมายถึงการนำเทคโนโลยีประเภทโดรน หรือหุ่นยนต์ส่งของอัจฉริยะมาใช้ด้วยเช่นกัน 

ปรับมาส่งของตอนกลางคืน

รถบรรทุกส่งของที่ขวางถนนในเมืองไม่เพียงแต่ทำให้คนเดินทางรู้สึกรำคาญ แต่ยังทำให้เกิดความแออัดและเพิ่มการปล่อยมลพิษจากการจราจรที่ไม่ได้ใช้งาน แม้แต่ที่จอดรถริมทาง รถบรรทุกยังทำให้รถในเมืองต้องล่าช้าถึง 947,000 ชั่วโมง เหตุใดจึงต้องดำเนินการส่งมอบในระหว่างวัน เมื่อคนขับรถบรรทุกยังต้องใช้พื้นที่จอดรถอันมีค่า และเสียเวลาและเชื้อเพลิงเพื่อแข่งขันกับผู้โดยสารที่สัญจรไปมา 

การส่งมอบในเวลากลางคืนจะช่วยให้ยานพาหนะขนาดใหญ่สามารถแล่นไปตามถนนในเมืองด้วยความเร็วสูงกว่า การวิเคราะห์จาก World Economic Forum แสดงให้เห็นว่า การส่งมอบในเวลากลางคืนหรือก่อนและหลังเวลาทำการ สามารถลดความแออัดของการจราจรในเมืองได้ 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 4 เปอร์เซ็นต์ และหากควบรวมกับการใช้ยานพาหนะไฟฟ้าที่สะอาดและเงียบเชียบ ก็จะไม่มีอะไรให้น่ารำคาญใจในเวลากลางคืน

แต่หากมีความจำเป็นต้องจัดส่งในเวลากลางวัน ก็อาจต้องมาว่าด้วยเรื่องการพัฒนาเมืองผ่านการสร้างพื้นที่จอดรถที่กำหนดไว้สำหรับรถส่งของ และการบังคับใช้กฎหมายกับการจอดรถบนถนนจะช่วยให้เมืองต่างๆ ลดความแออัดลงได้ 1 ใน 3

สร้างศูนย์รับสินค้า

ประเด็นนี้เป็นเรื่องการเจอกันคนละครึ่งทาง (คล้ายๆ กับที่เราต้องไปรับของบางอย่างเองที่ไปรษณีย์) ซึ่งเราอาจมองว่าเป็นภาระหรือลดความสะดวกสบายลง แต่ในความเป็นจริงจะช่วยลดความแออัดบนท้องถนนลงได้กว่าการส่งของแบบ Door to door

โดยจุดรับของอาจเป็นในรูปแบบของสถานที่หรือล็อกเกอร์ที่มีความปลอดภัย ต้องใช้รหัสผ่านหรือสแกนไอดีผู้รับ ถึงจะเปิดช่องเก็บของได้ 

ผู้ซื้อก็ต้องปรับพฤติกรรม

ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องที่ต้องเปลี่ยนอาจไม่ได้หมายความเพียงแค่เจ้าของธุรกิจ แต่ผู้ซื้อเองก็ต้องเข้าใจปัญหานี้ที่ซ้อนอยู่หลังปุ่ม Buy โดยนักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมแนะนำให้ลูกค้าเลือกใช้บริการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ก็เลือกที่จะรอสินค้าดูบ้าง

งานวิจัยหนึ่งในเม็กซิโก นักวิจัยของ MIT พบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่งเต็มใจที่จะรอของที่สั่งนานขึ้น เมื่อได้รับแจ้งว่าการจัดส่งที่ช้ากว่าจะช่วยรักษาโลกได้มากกว่า

ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการขนส่งสินค้าเท่านั้น การช้อปปิ้งออนไลน์ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่ใช่เรื่องที่ไร้หนทางแก้ไข

ท่ามกลางสภาพอากาศสุดขั้วที่เดินทางมาหาเราบ่อยพอๆ กับพนักงานส่งของ ไม่แน่ว่าการช้อปปิ้งครั้งต่อไป ข้าวของที่เราสั่งอาจไปโผล่อยู่ในอีกซีกโลกเหมือนอย่างในภาพยนตร์เรื่อง Cast Away ก็เป็นได้

อ้างอิง