ถ้าใครตามข่าวด้านประชากรโลก ก็อาจได้ยินข่าวว่า ‘เกาหลีใต้มีลูกน้อยที่สุดในโลก’ ทำนองนี้ นี่เป็นความจริง แต่อีกด้าน ถ้าเราจะจริงจังกับข้อมูลนี้ สิ่งที่ ‘น่ากลัว’ ไม่แพ้กันคือข้อมูลการมีลูกของของคนไทยเราเองนี่แหละ
ทีนี้จะทำความเข้าใจข้อมูลนี้ยังไงเราจะอธิบายไปทีละสเต็ปสั้นๆ
โดยทั่วไป การวัด ‘อัตราการเกิด’ ของมนุษย์ในสังคมหนึ่งๆ เราจะใช้ตัวชี้วัดว่า ‘อัตราการเจริญพันธุ์’ หรือ Fertility Rate ซึ่งอธิบายง่ายๆ ก็คือ จำนวนประชากรที่ผู้หญิงคนหนึ่งในสังคมจะเพิ่มให้สังคมตลอดช่วงชีวิต หรือพูดง่ายๆ ก็คือ จำนวนลูกที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงจะมีมาเพิ่มประชากรให้สังคมได้
ซึ่งที่เขานิยามเน้นเรื่อง ‘เพิ่มประชากร’ เพราะในอดีต การที่ผู้หญิงคนหนึ่งท้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าสังคมจะมีประชากรเพิ่ม เพราะอัตราการตายของทารกในยุคสมัยก่อนมีสูง แต่สมัยนี้การแพทย์ดีขึ้น คนที่ท้องและต้องการคลอดน้อยคนจะทำไม่สำเร็จ เราก็เลยเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ‘อัตราการเจริญพันธุ์’ มันก็คืออัตราการ ‘มีลูก’ ของคนในสังคมนั่นเอง
ทีนี้ทุกคนคงรู้ว่า ‘สังคมสมัยก่อน’ คนมีลูกกันเยอะกว่าสมัยนี้ และคนก็ค่อยๆ มีลูกน้อยลง ซึ่งไอเดียการมีลูกน้อยลงมันเกิดขึ้นเพราะ 2 ปัจจัยหลักๆ
ปัจจัยแรก เวลาผู้หญิงได้รับการศึกษามากขึ้น ผู้หญิงก็จะแต่งงานช้า และมีลูกน้อยลงกว่ารุ่นพ่อแม่ เพราะคอนเซ็ปต์ของลูกในสังคมสมัยใหม่ไม่ใช่ ‘มีไว้ใช้งาน’ แบบในอดีตแล้ว มีลูกสมัยนี้ก็ต้องเลี้ยง ต้องใช้เงิน ครอบครัวต้องใช้เงินกับลูกแต่ละคนมากขึ้น ก็เลยมีลูกน้อยลง
ส่วนปัจจัยที่สอง มันเกิดจากไอเดียว่า การมีลูกเยอะๆ แบบในอดีต ทำให้เศรษฐกิจไม่พัฒนา เพราะมันทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งไม่สามารถทำงานอะไรได้นอกจากมีลูก เลี้ยงลูก มีลูก เลี้ยงลูก วนไปจนแก่ และครอบครัวที่มีลูกมากๆ ก็ไม่สามารถใช้ทรัพยากรเพื่อเลี้ยงลูกแต่ละคนให้มีคุณภาพได้ ดังนั้นวิธีคิดว่าสังคมต้อง ‘คุมกำเนิด’ เศรษฐกิจถึงจะพัฒนา จึงแพร่หลายมากๆ ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งถ้าใครเคยเห็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจไทย 3 ฉบับแรก ก็จะรู้เลยว่าเขาเน้นเรื่อง ‘คุมกำเนิด’ มากๆ และช่วงโน้นมันเป็นแบบนี้ทั้งโลก โดยสังคมที่มีนโยบายแบบนี้สุดขั้วที่สุดก็ได้แก่ จีน ที่มี ‘นโยบายลูกคนเดียว’ มายาวนาน (และนี่คือ ‘ความลับ’ ว่าทำไมรายได้ต่อหัวของคนจีนถึงขึ้นรัวๆ มาหลายสิบปี)
ดังนั้น มันเลยเป็นลักษณะทั่วไปของทุกประเทศที่ผ่านการ ‘พัฒนา’ มาที่จะมีลูกกันน้อยลง
แรกๆ การมีลูกน้อยลงยังไม่มีปัญหา เพราะการมีลูกน้อยลงมันทำให้รายได้ต่อหัวของประเทศขึ้นเอาๆ นักเศรษฐศาสตร์แฮปปี้กันสุดๆ แต่พอเศรษฐกิจพัฒนาไปเรื่อยๆ ในหลายสังคมเริ่มสังเกตเห็นว่า เด็กเริ่มเกิดน้อยลงเรื่อยๆ ในแต่ละปี และน้อยลงไม่หยุด
อะไรพวกนี้ ถ้าดูผ่าน ‘ตัวชี้วัด’ ก็จะเห็นว่า ‘อัตราการเจริญพันธุ์’ มันลดลงเรื่อยๆ ซึ่งโดยทั่วไป เขาจะถือว่าอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำกว่า 2 เมื่อไหร่ ประชากรในประเทศจะเริ่มลดลงแน่ๆ ในระยะยาว (ที่เขาใช้ 2 ก็เพราะ ทั่วๆ ไปในสังคมหนึ่ง ผู้ชายกับผู้หญิงจะมีเท่าๆ กัน หรือพูดง่ายๆ ชายและหญิงจะเข้าคู่กันพอดีในแต่ละรุ่น และถ้าผู้ชายกับผู้หญิงในแต่ละรุ่นมีลูกกัน 2 คน ก็คือจะผลิตประชากรมาแทนตัวเองได้พอดี นี่หมายความว่าถ้าผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 2 คน ก็หมายความว่าประชากรก็ย่อมจะลดลงในระยะยาวนั่นเอง)
ทีนี้กลับไปดูในสถิติที่เอามาให้ดู เราก็จะเห็นว่า จริงๆ ในโลกนี้ ถ้าไม่นับแอฟริกา โลกอาหรับ และเอเชียใต้ ประชากรในหลายประเทศนอกจากนี้กำลัง ‘ลดลง’ เพราะถ้าไม่นับประเทศในโซนที่ว่ามา ตัวเลขอัตราการเจริญพันธุ์ไม่ถึง 2 ทั้งนั้น
แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ ความวิกฤตของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน หรือพูดง่ายๆ บางประเทศ ‘อัตราการเจริญพันธุ์’ เพิ่งจะตกลงต่ำกว่า 2 ได้ไม่นาน แต่บางประเทศก็ตกมานานแล้ว และตกลงมาใกล้ๆ 1 แล้วด้วยซ้ำ
ในกรณีเกาหลีใต้ เราจะเห็นว่า ‘รั้งท้าย’ โลกมานาน คือไม่ว่าจะเหตุผลอะไร คนประเทศนี้มีลูกกันน้อยระดับโลก และที่เป็นข่าวก็คือ ข้อมูลล่าสุดที่ทางการเกาหลีใต้ประกาศออกมา อัตราการเจริญพันธุ์เหลือ 0.81 หรือผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกเฉลี่ยไม่ถึง 1 คน นี่คือวิกฤตสุดๆ แล้ว
จะเห็นว่าตัวเลขนี้ไม่ตรงกับตัวเลขของกองทุนประชากรของสหประชาชาติที่เรานำมาเสนอ คือมันต่ำกว่า แต่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะข้อมูลแต่ละสำนักจะมีวิธีคำนวณของตัวเอง ซึ่งเวลาเราเทียบ ก็ควรจะใช้ข้อมูลของสำนักเดียวกัน เพราะทั่วๆ ไปเขาจะถือว่าใช้มาตรฐานเดียวกันในการวัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าอัตราการเจริญพันธุ์ของเกาหลีใต้จะเป็น 1.1 ตามสหประชาชาติ หรือ 0.81 ตามหน่วยงานรัฐบาลเกาหลีใต้เอง ข้อเท็จจริงที่ว่าสถิตินี้ ‘ต่ำที่สุดในโลก’ ก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี
กลับมาดูประเทศไทย เราจะเห็นว่าถ้าว่าตามสหประชาติ ไทยมีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำมากแค่ 1.5 ซึ่งในเอเชีย เอาจริงๆ มีประเทศที่คนมีลูกน้อยกว่าไทย แค่ 3 ประเทศ ซึ่งก็คือ ญี่ปุ่น (1.4) สิงคโปร์ (1.2) และเกาหลีใต้ (1.1)
ถามว่าตัวเลขนี้น่ากลัวไหม คำตอบคือน่ากลัวมากๆ สำหรับคนที่ดูเรื่องเศรษฐกิจ เพราะถ้าเราสังเกต 3 ประเทศที่มีลูกน้อยกว่าเรา คือ 3 ประเทศที่ ‘รวย’ ที่สุดในเอเชียทั้งนั้นถ้านับรายได้ต่อหัว และก็ไม่แปลกที่ประเทศที่ร่ำรวยเหล่านี้จะมีลูกน้อยลง มันเป็นแพตเทิร์นที่ปกติมากในโลก เพราะทั่วๆ ไปไม่มีประเทศไหนที่รวยขึ้นแล้วจะมีลูกมากขึ้น
แต่สิ่งที่ ‘ผิดปกติ’ คือประเทศที่พัฒนาการทางเศรษฐกิจระดับกลางๆ อย่างไทย คนส่วนใหญ่กลับมีลูกพอๆ กับประเทศญี่ปุ่นที่เกือบรวยสุดในเอเชีย (ตอนนี้เกาหลีใต้รวยกว่าแล้ว) ซึ่งในระยะยาว คนที่ดูตัวเลขก็จะคิดตามทันทีว่าประชากรวัยทำงานของไทยมีน้อยเกินไป ทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อย ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มรัฐสวัสดิการอะไรเลย การรักษารายได้ของรัฐให้ได้เท่าเดิมใน 10 ปีข้างหน้าก็เป็นงานยากแล้ว เพราะประชากรจะลดลง และความเป็นจริงทางการคลังนี้ก็น่าจะทำให้รัฐไทยมีแผนตัดลดสวัสดิการมากกว่าจะเพิ่มให้เรา
แต่ที่โหดกว่านั้นก็คือ ตัวเลขที่เอามาคุยกันนี้รวบรวมโดยสหประชาชาติ ถ้าจะเอา ‘ตัวเลขทางการ’ ของไทยเองที่สำนักงานสถิติแห่งชาติใช้ (ซึ่งเป็นตัวเลขจากสำนักวิจัยประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล) ยิ่ง ‘ต่ำกว่านั้น’ อีก เพราะเราจะเห็นเลยว่าตอนนี้อัตราเจริญพันธุ์ ณ ปี 2022 ไทยเหลือ 1.2 แล้ว และเพิ่งลงได้ไม่นาน หรือพูดอีกแบบ ในช่วงโควิดมันทำให้คนไทยที่มีลูกกันไม่เยอะอยู่แล้ว มีลูกน้อยลงไปอีก
ซึ่งถ้าเป็นตัวเลข 1.2 จริง ก็เตรียมหนาวกันได้เลย เพราะนั่นหมายความว่าคนไทยมีลูกน้อยกว่าคนญี่ปุ่น และภาวะสังคมผู้สูงอายุที่คาดกันไว้ (พร้อมกับปัญหานานัปการของมัน) ก็จะเกิดเร็วขึ้นและหนักขึ้นไปอีก และบอกตรงๆ นี่คือเรื่องหนักมาก ที่ไม่ว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล ก็ไม่น่าจะแก้ได้ เพราะในโลกนี้ ไม่ว่าสังคมจะมีรัฐบาลที่ดีเยี่ยมดูแลประชาชนดีแค่ไหน ก็ยังไม่มีประเทศไหนสามารถพลิกฟื้นให้อัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลงกลับขึ้นมาได้แม้แต่ประเทศเดียว
อ้างอิง
- United Nations Population Fund. https://bit.ly/2IYabnW
- BBC. South Korea records world’s lowest fertility rate again. https://bbc.in/3ACTdna
- สำนักงานสถิติแห่งชาติ. อัตราการเจริญพันธุ์รวม พ.ศ. 2553 – 2565. https://bit.ly/2KFPquV
- Wikipedia. List of sovereign states and dependencies by total fertility rate. https://bit.ly/3q2wdJi