4 Min

รู้ไหม คนไทยมีลูกน้อยเข้าขั้นวิกฤตแล้ว

4 Min
1756 Views
05 Sep 2022

ถ้าใครตามข่าวด้านประชากรโลก ก็อาจได้ยินข่าวว่าเกาหลีใต้มีลูกน้อยที่สุดในโลกทำนองนี้ นี่เป็นความจริง แต่อีกด้าน ถ้าเราจะจริงจังกับข้อมูลนี้ สิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กันคือข้อมูลการมีลูกของของคนไทยเราเองนี่แหละ

ทีนี้จะทำความเข้าใจข้อมูลนี้ยังไงเราจะอธิบายไปทีละสเต็ปสั้นๆ

โดยทั่วไป การวัดอัตราการเกิดของมนุษย์ในสังคมหนึ่งๆ เราจะใช้ตัวชี้วัดว่าอัตราการเจริญพันธุ์หรือ Fertility Rate ซึ่งอธิบายง่ายๆ ก็คือ จำนวนประชากรที่ผู้หญิงคนหนึ่งในสังคมจะเพิ่มให้สังคมตลอดช่วงชีวิต หรือพูดง่ายๆ ก็คือ จำนวนลูกที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงจะมีมาเพิ่มประชากรให้สังคมได้

ซึ่งที่เขานิยามเน้นเรื่องเพิ่มประชากรเพราะในอดีต การที่ผู้หญิงคนหนึ่งท้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าสังคมจะมีประชากรเพิ่ม เพราะอัตราการตายของทารกในยุคสมัยก่อนมีสูง แต่สมัยนี้การแพทย์ดีขึ้น คนที่ท้องและต้องการคลอดน้อยคนจะทำไม่สำเร็จ เราก็เลยเข้าใจได้ง่ายๆ ว่าอัตราการเจริญพันธุ์มันก็คืออัตราการมีลูกของคนในสังคมนั่นเอง

ทีนี้ทุกคนคงรู้ว่าสังคมสมัยก่อนคนมีลูกกันเยอะกว่าสมัยนี้ และคนก็ค่อยๆ มีลูกน้อยลง ซึ่งไอเดียการมีลูกน้อยลงมันเกิดขึ้นเพราะ 2 ปัจจัยหลักๆ

ปัจจัยแรก เวลาผู้หญิงได้รับการศึกษามากขึ้น ผู้หญิงก็จะแต่งงานช้า และมีลูกน้อยลงกว่ารุ่นพ่อแม่ เพราะคอนเซ็ปต์ของลูกในสังคมสมัยใหม่ไม่ใช่มีไว้ใช้งานแบบในอดีตแล้ว มีลูกสมัยนี้ก็ต้องเลี้ยง ต้องใช้เงิน ครอบครัวต้องใช้เงินกับลูกแต่ละคนมากขึ้น ก็เลยมีลูกน้อยลง

ส่วนปัจจัยที่สอง มันเกิดจากไอเดียว่า การมีลูกเยอะๆ แบบในอดีต ทำให้เศรษฐกิจไม่พัฒนา เพราะมันทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งไม่สามารถทำงานอะไรได้นอกจากมีลูก เลี้ยงลูก มีลูก เลี้ยงลูก วนไปจนแก่ และครอบครัวที่มีลูกมากๆ ก็ไม่สามารถใช้ทรัพยากรเพื่อเลี้ยงลูกแต่ละคนให้มีคุณภาพได้ ดังนั้นวิธีคิดว่าสังคมต้องคุมกำเนิดเศรษฐกิจถึงจะพัฒนา จึงแพร่หลายมากๆ ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งถ้าใครเคยเห็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจไทย 3 ฉบับแรก ก็จะรู้เลยว่าเขาเน้นเรื่องคุมกำเนิดมากๆ และช่วงโน้นมันเป็นแบบนี้ทั้งโลก โดยสังคมที่มีนโยบายแบบนี้สุดขั้วที่สุดก็ได้แก่ จีน ที่มีนโยบายลูกคนเดียวมายาวนาน (และนี่คือความลับว่าทำไมรายได้ต่อหัวของคนจีนถึงขึ้นรัวๆ มาหลายสิบปี)

ดังนั้น มันเลยเป็นลักษณะทั่วไปของทุกประเทศที่ผ่านการพัฒนามาที่จะมีลูกกันน้อยลง

แรกๆ การมีลูกน้อยลงยังไม่มีปัญหา เพราะการมีลูกน้อยลงมันทำให้รายได้ต่อหัวของประเทศขึ้นเอาๆ นักเศรษฐศาสตร์แฮปปี้กันสุดๆ แต่พอเศรษฐกิจพัฒนาไปเรื่อยๆ ในหลายสังคมเริ่มสังเกตเห็นว่า เด็กเริ่มเกิดน้อยลงเรื่อยๆ ในแต่ละปี และน้อยลงไม่หยุด

อะไรพวกนี้ ถ้าดูผ่านตัวชี้วัดก็จะเห็นว่าอัตราการเจริญพันธุ์มันลดลงเรื่อยๆ ซึ่งโดยทั่วไป เขาจะถือว่าอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำกว่า 2 เมื่อไหร่ ประชากรในประเทศจะเริ่มลดลงแน่ๆ ในระยะยาว (ที่เขาใช้ 2 ก็เพราะ ทั่วๆ ไปในสังคมหนึ่ง ผู้ชายกับผู้หญิงจะมีเท่าๆ กัน หรือพูดง่ายๆ ชายและหญิงจะเข้าคู่กันพอดีในแต่ละรุ่น และถ้าผู้ชายกับผู้หญิงในแต่ละรุ่นมีลูกกัน 2 คน ก็คือจะผลิตประชากรมาแทนตัวเองได้พอดี นี่หมายความว่าถ้าผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 2 คน ก็หมายความว่าประชากรก็ย่อมจะลดลงในระยะยาวนั่นเอง)

ทีนี้กลับไปดูในสถิติที่เอามาให้ดู เราก็จะเห็นว่า จริงๆ ในโลกนี้ ถ้าไม่นับแอฟริกา โลกอาหรับ และเอเชียใต้ ประชากรในหลายประเทศนอกจากนี้กำลังลดลงเพราะถ้าไม่นับประเทศในโซนที่ว่ามา ตัวเลขอัตราการเจริญพันธุ์ไม่ถึง 2 ทั้งนั้น

แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ ความวิกฤตของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน หรือพูดง่ายๆ บางประเทศอัตราการเจริญพันธุ์เพิ่งจะตกลงต่ำกว่า 2 ได้ไม่นาน แต่บางประเทศก็ตกมานานแล้ว และตกลงมาใกล้ๆ 1 แล้วด้วยซ้ำ

ในกรณีเกาหลีใต้ เราจะเห็นว่ารั้งท้ายโลกมานาน คือไม่ว่าจะเหตุผลอะไร คนประเทศนี้มีลูกกันน้อยระดับโลก และที่เป็นข่าวก็คือ ข้อมูลล่าสุดที่ทางการเกาหลีใต้ประกาศออกมา อัตราการเจริญพันธุ์เหลือ 0.81 หรือผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกเฉลี่ยไม่ถึง 1 คน นี่คือวิกฤตสุดๆ แล้ว

จะเห็นว่าตัวเลขนี้ไม่ตรงกับตัวเลขของกองทุนประชากรของสหประชาชาติที่เรานำมาเสนอ คือมันต่ำกว่า แต่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะข้อมูลแต่ละสำนักจะมีวิธีคำนวณของตัวเอง ซึ่งเวลาเราเทียบ ก็ควรจะใช้ข้อมูลของสำนักเดียวกัน เพราะทั่วๆ ไปเขาจะถือว่าใช้มาตรฐานเดียวกันในการวัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าอัตราการเจริญพันธุ์ของเกาหลีใต้จะเป็น 1.1 ตามสหประชาชาติ หรือ 0.81 ตามหน่วยงานรัฐบาลเกาหลีใต้เอง ข้อเท็จจริงที่ว่าสถิตินี้ต่ำที่สุดในโลกก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี

กลับมาดูประเทศไทย เราจะเห็นว่าถ้าว่าตามสหประชาติ ไทยมีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำมากแค่ 1.5 ซึ่งในเอเชีย เอาจริงๆ มีประเทศที่คนมีลูกน้อยกว่าไทย แค่ 3 ประเทศ ซึ่งก็คือ ญี่ปุ่น (1.4) สิงคโปร์ (1.2) และเกาหลีใต้ (1.1)

ถามว่าตัวเลขนี้น่ากลัวไหม คำตอบคือน่ากลัวมากๆ สำหรับคนที่ดูเรื่องเศรษฐกิจ เพราะถ้าเราสังเกต 3 ประเทศที่มีลูกน้อยกว่าเรา คือ 3 ประเทศที่รวยที่สุดในเอเชียทั้งนั้นถ้านับรายได้ต่อหัว และก็ไม่แปลกที่ประเทศที่ร่ำรวยเหล่านี้จะมีลูกน้อยลง มันเป็นแพตเทิร์นที่ปกติมากในโลก เพราะทั่วๆ ไปไม่มีประเทศไหนที่รวยขึ้นแล้วจะมีลูกมากขึ้น

แต่สิ่งที่ผิดปกติคือประเทศที่พัฒนาการทางเศรษฐกิจระดับกลางๆ อย่างไทย คนส่วนใหญ่กลับมีลูกพอๆ กับประเทศญี่ปุ่นที่เกือบรวยสุดในเอเชีย (ตอนนี้เกาหลีใต้รวยกว่าแล้ว) ซึ่งในระยะยาว คนที่ดูตัวเลขก็จะคิดตามทันทีว่าประชากรวัยทำงานของไทยมีน้อยเกินไป ทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อย ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มรัฐสวัสดิการอะไรเลย การรักษารายได้ของรัฐให้ได้เท่าเดิมใน 10 ปีข้างหน้าก็เป็นงานยากแล้ว เพราะประชากรจะลดลง และความเป็นจริงทางการคลังนี้ก็น่าจะทำให้รัฐไทยมีแผนตัดลดสวัสดิการมากกว่าจะเพิ่มให้เรา

แต่ที่โหดกว่านั้นก็คือ ตัวเลขที่เอามาคุยกันนี้รวบรวมโดยสหประชาชาติ ถ้าจะเอาตัวเลขทางการของไทยเองที่สำนักงานสถิติแห่งชาติใช้ (ซึ่งเป็นตัวเลขจากสำนักวิจัยประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล) ยิ่งต่ำกว่านั้นอีก เพราะเราจะเห็นเลยว่าตอนนี้อัตราเจริญพันธุ์ ณ ปี 2022 ไทยเหลือ 1.2 แล้ว และเพิ่งลงได้ไม่นาน หรือพูดอีกแบบ ในช่วงโควิดมันทำให้คนไทยที่มีลูกกันไม่เยอะอยู่แล้ว มีลูกน้อยลงไปอีก

ซึ่งถ้าเป็นตัวเลข 1.2 จริง ก็เตรียมหนาวกันได้เลย เพราะนั่นหมายความว่าคนไทยมีลูกน้อยกว่าคนญี่ปุ่น และภาวะสังคมผู้สูงอายุที่คาดกันไว้ (พร้อมกับปัญหานานัปการของมัน) ก็จะเกิดเร็วขึ้นและหนักขึ้นไปอีก และบอกตรงๆ นี่คือเรื่องหนักมาก ที่ไม่ว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล ก็ไม่น่าจะแก้ได้ เพราะในโลกนี้ ไม่ว่าสังคมจะมีรัฐบาลที่ดีเยี่ยมดูแลประชาชนดีแค่ไหน ก็ยังไม่มีประเทศไหนสามารถพลิกฟื้นให้อัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลงกลับขึ้นมาได้แม้แต่ประเทศเดียว

อ้างอิง