อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ
ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่ข้อเท็จจริงคือ ไทยมีหนี้ครัวเรือนปี 2565 สูงถึง 89.3 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และส่วนหนึ่งก็มาจากภาระที่ต้อง ‘ผ่อน’ อะไรหลายอย่างในชีวิต แต่การพูดว่าคนไทย ‘ชอบผ่อน’ ก็อาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป เพราะบางคนผ่อนสินค้าเท่าที่จำเป็น ส่วนบางคนก็มองว่านี่คือการลงทุน แต่ถ้าย้อนไปดูนโยบายรัฐและสถาบันการเงินไทยในอดีตก็เห็นชัดว่ามีการสนับสนุนให้คนกู้ยืมมาตั้งแต่ 30-40 ปีที่แล้ว ทั้งยังทำในนามของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคด้วย จึงไม่แปลกที่คนไทยจะคุ้นเคยกับ ‘การผ่อน’ มานาน
ก่อนจะถึงวันที่คนในสื่อโซเชียลถกเถียงกันว่าคนไทยมีนิสัย ‘ชอบผ่อน’ จริงไหม เรามีหลักฐานที่ยืนยันว่า ‘การผ่อน’ อยู่คู่คนไทยมาไม่น้อยกว่า 40 ปี ซึ่งคนยุค Gen Z เกิดไม่ทันแน่ๆ แต่คนยุค Gen X และ Gen Y น่าจะรู้จักเพลง ‘ราชาเงินผ่อน’ ของวงดนตรีเพื่อชีวิตอย่าง ‘คาราบาว’ ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2527 หนึ่งในเพลงฮิตของอัลบั้ม ‘เมดอินไทยแลนด์’
ถ้าย้อนกลับมาฟังในวันนี้ก็ถือว่าเพลงยังร่วมสมัยอยู่ เพราะท่อนหนึ่งของ ‘ราชาเงินผ่อน’ บอกชัดว่าคนที่ซื้อข้าวของต่างๆ ในแบบ ‘เงินผ่อน’ เข้าใจดีว่าวิธีนี้มี ‘ดอกเบี้ยบานตะไท’ และที่จริงพวกเขาเองก็อยากจะใช้แต่ ‘สิ่งของจำเป็น’ แต่ถึงที่สุดแล้วคนที่เคย ‘เจียมเพราะจน’ ก็ต้องการความสุขและความผ่อนคลายในชีวิตไม่ต่างจากคนอื่นๆถ้าพวกเขาจะซื้อหาสิ่งของต่างๆด้วยเงินผ่อนก็เป็นสิทธิ์ที่พวกเขาจะทำได้
อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้เงินผ่อนเฟื่องฟูในยุคนั้น เป็นเพราะรัฐบาลไทยยุคหลังปี 2500 โดยเฉพาะในยุคของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นต้นมา มีการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนภาคอุตสาหกรรม แถมยังมีโครงการพัฒนาที่ดินผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด สิ่งที่ตามมาก็คือคนที่เคยทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรมจำนวนมากปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาทำงานในเมือง และเกิดการขยายตัวของ ‘ชนชั้นกลาง’ ที่มีรายได้ประจำและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น รัฐบาลยุคนั้นจึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในครัวเรือนไปด้วย
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบ 40 ปี จนนักร้องนำวงเพื่อชีวิตในตำนานกลายเป็นนายทุนไปเสียเอง แต่สภาพของ ‘ราชาเงินผ่อน’ ในยุคนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรกับ ‘มนุษย์เงินผ่อน’ ในยุคนี้ เพราะชีวิตคนทำงานจำนวนมากก็ยังเจอปัญหาเดิมๆ เหมือนเนื้อเพลงในอดีตคือ “ทํางานทําเงิน ทําเกินเงินเดือน เศรษฐกิจคลาดเคลื่อน เงินเดือนไม่พอใช้” แถมยัง “ให้เราทํางานทําแลกเงินตรา แต่ต่อตีราคาตํ่ากว่าความเป็นไป”
หรือล่าสุดก็มีกรณีที่ ‘มารี เบิร์นเนอร์’ นักแสดงหญิงลูกครึ่งไทย–เยอรมัน แสดงความเห็นทางช่องยูทูบไม่กี่วันมานี้ โดยช่วงหนึ่งพูดถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทยว่า ‘ชอบผ่อน’ ทั้งที่จริงๆ ควรจะรู้ว่าเงินต้นกับดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนจ่ายในระยะยาวนั้นจะทำให้คนต้องจ่ายแพงกว่าราคาจริง ซึ่งมารีได้ยกตัวอย่างบ้านราคาหลัก 10 ล้านว่าถ้าจ่ายแบบผ่อน ราคารวมของบ้านอาจสูงถึง 20 ล้าน แต่การจ่ายเงินสดหรือโปะเงินก้อนจะทำให้จบภาระหนี้สินได้เร็ว แต่คนไทยกลับเลือกวิธีผ่อนจ่ายไปนานๆ
คนที่ได้ฟังประโยคนี้ของมารีก็แคปหน้าจอและโควทคำพูดของเธอไปเผยแพร่ต่อในสื่อโซเชียลของไทย และกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างหนัก เพราะบางคนก็มองว่า คนที่พูดแบบนี้ไม่เข้าใจความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราค่าแรง โอกาสทางอาชีพ ไปจนถึงภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ของประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้คนจำนวนมากไม่มีรายได้มากพอที่จะจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อสินค้าที่มีราคาแพงหลักแสนหลักล้านได้
แน่นอนว่าคนที่เห็นด้วยกับมารีก็มี โดยมองว่า นักแสดงหญิงแค่ยกตัวอย่างผิดที่ไปพูดถึงบ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่จำเป็นและมีราคาสูง แต่ที่จริงมารีน่าจะหมายถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็น แต่หลายคนก็ยังสร้างหนี้สินด้วยการผ่อนสินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้ เช่น โทรศัพท์มือถือรุ่นท็อป (ซึ่งบางทีก็อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ) หรือเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าแบรนด์เนม จนถึงการผ่อนรถหรูเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองทั้งที่รายได้จริงอาจจะไม่ได้ถึงขั้นนั้น หรือพูดสั้นๆ ก็คือ ‘ใช้เงินเกินตัว’
แต่ก็มีหลายเสียงถกเถียงเพิ่มเติมว่า การผ่อนสำหรับบางคนถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เหมือนกับเจ้าของธุรกิจที่ต้องกู้ยืมเงินมาลงทุนเช่นกัน แต่คนรายได้ปานกลางและรายได้น้อยอาจลงทุนกับสินค้าที่จะแปรไปเป็นทรัพย์สินในอนาคตได้ เหมือนโทรศัพท์รุ่นท็อปและของแบรนด์เนม ขณะที่การซื้อบ้านซื้อรถสำหรับบางคนคือการยกระดับคุณภาพชีวิต เพราะแม้จะผ่านไป 40 ปีจากยุคเพลงราชาเงินผ่อน ระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกรวดเร็วก็ยังไม่ครอบคลุมจำนวนประชากรในย่านชานเมืองและต่างจังหวัด หรือต่อให้บางเส้นทางครอบคลุมแล้ว ค่าโดยสารก็ยังสูงจนบางคนมองว่าเอาเงินไปผ่อนรถยังจะคุ้มค่ากว่า
ยิ่งหันมามองสภาพรอบตัวในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ตกงานและเศรษฐกิจฝืดเคือง แต่กลุ่มทุนและภาครัฐก็ยังอิดออดเรื่องการชดเชยและการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะมองว่าจะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นและกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม คนหาเช้ากินค่ำหรือมนุษย์เงินเดือนยุคนี้จึงแทบจะไม่ต่างอะไรกับยุคของราชาเงินผ่อนเมื่อ 4 ทศวรรษที่แล้ว
ประเด็นที่น่าคุยกันต่อจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า ทำไมคนไทยจึงเลือกจะ ‘ผ่อน’ ทั้งๆ ที่รู้ว่าดอกเบี้ยสูง แต่สิ่งที่ควรถามคือ เพราะอะไรสภาพความเป็นอยู่ของคนรายได้น้อยและรายได้ปานกลางถึงยังไม่มีทางเลือกอะไรมากนักเหมือนเดิม ไปจนถึงทำไมระบบที่ควรรองรับจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปัญหาอยู่ที่คน หรือที่ระบบไม่เอื้อต่อการเติบโตของผู้คนกันแน่?
อ้างอิง
- BOT. หนี้ครัวเรือน : ปัญหาที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้. https://bit.ly/3YsH6DS
- the101world. คาราบาว’s ‘เมดอินไทยแลนด์’ บทเพลงร่วมสมัยฉลองประเทศไทยในโลกที่สาม. https://bit.ly/3XqoKSP
- Sanook. ทัวร์ลง! “มารี เบรินเนอร์” หลุดพูด “คนไทยชอบผ่อน” ชาวเน็ตสวนกลับเดือด. https://bit.ly/3lvGLSu