4 Min

รู้จักที่มา ‘แก๊สน้ำตา’ อาวุธเคมีที่ห้ามใช้ในสงคราม แต่ทำไมใช้กับผู้ประท้วงในการชุมนุมได้?

4 Min
1346 Views
03 Dec 2020
รู้จักที่มา ‘แก๊สน้ำตา’ อาวุธเคมีที่ห้ามใช้ในสงคราม แต่ทำไมใช้กับผู้ประท้วงในการชุมนุมได้?
 
ในยุคแห่งการประท้วง ‘แก๊สน้ำตา’ ดูจะเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ “อำนาจกดขี่” ของรัฐที่มีต่อผู้ชุมนุม
 
ทุกวันนี้หลายคนอาจมองว่า การใช้ “แก๊สน้ำตา” กับผู้ชุมนุมเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในยุโรปหรือแอฟริกาต่างก็ใช้แก๊สน้ำตาเป็นเครื่องมือสลายการประท้วงของประชาชน
 
แต่รู้ไหมว่า แก๊สน้ำตาเป็น “อาวุธ” ที่ใช้ในสงครามไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมมันถึงใช้กับผู้ชุมนุมโดยชอบธรรมได้
 
จะตอบคำถามนี้ได้ เราอาจต้องย้อนอดีตกันสักหน่อย
 
 

1.

ในช่วงศตวรรษที่ 19 เรียกได้ว่าเป็น ‘ยุคทองแห่งพัฒนาการทางเคมี’ ยุคนั้นนักเคมีสนุกในการสร้างสารเคมีใหม่ๆ ออกมา
 
ซึ่งการสร้างในที่นี้ เรียกได้ว่าเป็นการสร้างๆ มาก่อน เดี๋ยวค่อยคิดทีหลังว่าจะนำไปใช้ทำอะไร
 
ถ้ามีประโยชน์ คนคิดก็จะรวย เช่น สารเคมีจำนวนหนึ่งอาจกลายมาเป็นยารักษาโรค บางส่วนกลายเป็นสารกระตุ้นที่กลายเป็นสารเสพติด บางส่วนกลายมาเป็นยาฆ่าแมลง และบางส่วนกลายเป็นสิ่งที่เราเรียกกันว่า “อาวุธเคมี”
 
 

2.

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ไม่มีสารตามธรรมชาติใดๆ ในโลกนี้ที่มนุษย์จะสูดดมเข้าไปแล้วถึงตาย หรือบาดเจ็บสาหัส
 
และถ้ามีสารแบบนี้อยู่จริง สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดก็คือ ‘การสงคราม’ หรืออย่างเบาสุดก็คือ ‘การปราบจลาจล’
 
และเราก็ต้องไม่ลืมว่าในศตวรรษที่ 19 ผู้คนประท้วงกันหนักมากในยุโรป (ซึ่งนำมาสู่ “ประชาธิปไตย” และ “รัฐสวัสดิการ” ที่โลกรู้จักทุกวันนี้)
 
พัฒนาการของสารเคมีเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยกลุ่มนักเคมีชาวฝรั่งเศส ซึ่งเวลานั้นประเทศฝรั่งเศสเป็นดินแดนแห่งการประท้วง
 
นักเคมีจึงคิดสารที่จะเอามาสร้างความ “หวาดกลัว” กับกลุ่มคนเหล่านั้น
 
ลองนึกภาพตาม อาวุธเคมีที่เป็นแก๊ส คืออาวุธที่ “มองไม่เห็น” และนั่นคือการทำให้ฝ่ายที่โดนโจมตีต้องสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ทำให้หายใจไม่ออกและปวดแสบปวดร้อน
 
นี่คือสิ่งที่ “ทำลายขวัญกำลังใจ” อย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ที่ใช้ในการปราบการชุมนุม เพราะตามหลัก ถ้าต้องการใช้การชุมนุมยุติ แต่ไม่ได้ต้องการให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิต ต้องบั่นทอนขวัญกำลังใจ
 
ในแง่นี้ “แก๊สน้ำตา” จึงเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาเพื่อ “สลายการชุมนุม” โดยเฉพาะ
 

3.

อย่างไรก็ดี แก๊สน้ำตาไม่ได้ถูกเริ่มใช้ในการสลายการชุมนุม
 
เนื่องจากยุคแรกเริ่มยังไม่เคยมีการใช้แก๊สสลายการชุมนุม ฝั่งที่คิดจะใช้จึงมีคำถามมากมาย เช่น แก๊สจะอยู่ในอากาศนานเท่าไร?
 
ถ้าลมพัดย้อนศร ผู้ใช้มีสิทธิ์โดนเองหรือไม่? ฯลฯ
 
ซึ่งคำถามเกี่ยวกับ ‘แก๊สน้ำตา’ มีเยอะมาก และก็เยอะพอที่ตำรวจในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จะไม่ใช้สิ่งนี้ เพราะเป็นของที่ประหลาดเกินไปที่จะนำงบจัดซื้อจัดจ้างซื้อมาใช้
 
ด้วยเหตุนี้ แก๊สน้ำตาจึงเปิดตัวในสงคราม ซึ่ง “วันเปิดตัว” คือช่วงเดือนสิงหาคม ปี 1914 เมื่อกองทัพฝรั่งเศสใช้แก๊สน้ำตาโยนลงไปในหลุมเพาะของกองทัพเยอรมัน และทำให้ทหารเยอรมันแตกฮือ
 

4.

ในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการใช้ “อาวุธเคมี” มากมาย นอกจาก “แก๊สน้ำตา” ยังมีการใช้แก๊สสารพัด
 
พอสงครามโลกจบลง ประเทศต่างๆ ได้ทำสนธิสัญญาที่เรียกว่า Geneva Protocol ในปี 1925 ซึ่งเป็นสนธิสัญญา “แบนอาวุธเคมี” ฉบับแรกๆ ในโลกที่มีการลงสัตยาบันอย่างกว้างขวาง
 
และนี่คือเหตุผลที่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการใช้ “อาวุธเคมี” เลย เพราะอย่างน้อยบรรดาชาติในยุโรปที่ให้สัตยาบันกับสนธิสัญญานี้ เวลารบกันก็ยังเคารพการไม่ใช้อาวุธเคมี และนั่นก็เป็นมาตรฐานของการทำสงครามมาจนถึงทุกวันนี้
 
อนุสัญญา Chemical Weapons Convention ในปี 1993 น่าจะเป็นการอัปเดตมาตรฐานนี้ เพราะเป็นมาตรฐานที่ “ทุกชาติ” ให้สัตยาบัน รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย (อเมริกาไม่ยอมให้สัตยาบันใน Geneva Protocol และนั่นเป็นเหตุผลที่อเมริกาใช้อาวุธเคมีมากมายในช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะตอนทำสงครามเวียดนาม)
 
พูดง่ายๆ ทุกวันนี้ ใครไปโยนแก๊สน้ำตาในสงคราม ถือว่าเป็นการละเมิด “กติกาการทำสงคราม” นานาชาติ และคนสั่งการณ์ก็อาจต้องไปขึ้นศาลอาญาโลก
 
ทว่า “สงคราม” ไม่ใช่การ “ปราบจลาจล”
 
ตั้งแต่ “แก๊สน้ำตา” โดนแบนไม่ให้ใช้ในสงครามตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 อาวุธเคมีชนิดนี้ก็ได้พบ “ชีวิตใหม่” ในการปราบการประท้วงทั่วโลก และกลายเป็นไอเทมที่ฮิตและแพร่กระจายของเจ้าหน้าที่รัฐในการปราบผู้ประท้วงมาถึงปัจจุบันนี้ เพราะถือว่าเป็น “อาวุธที่ไม่ทำให้ถึงตาย”
 

5.

ถามว่าจริงๆ แล้ว “แก๊สน้ำตา” คืออะไร?
 
แก๊สน้ำตาเป็นคำเรียกรวมๆ ของ “สารเคมีที่สร้างความระคายเคืองร้ายแรงต่อต่อมน้ำตามนุษย์” ซึ่งหลักๆ แล้วหมายถึงสารต่างๆ ประมาณ 10 ตัวที่มีสรรพคุณคล้ายๆ กัน และสารทุกตัว ให้ผล (อย่างน้อย) ทำให้น้ำตาไหลทั้งสิ้น
 
ในกระบวนการผลิตจริง บริษัทต่างๆ ที่ผลิตแก๊สน้ำตาขายก็ไม่ได้มีใส่แค่บรรดาสารที่ทำให้ตาระคายเคืองเพียงอย่างเดียว แต่ยังผสมสารอื่นๆ เข้าไปด้วย เพื่อความระคายเคืองผิวหนัง ไปจนถึงระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอยู่บนแนวคิดของแก๊สน้ำตาก็คือ ต้องสร้างความระคายเคืองเท่านั้น ห้ามสร้างความเสียหายถาวร หรือทำให้พิการ
 
ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ตำรวจใช้แก๊สน้ำตามีความ “สบายใจ” ว่าโยนไปยังไงก็ไม่มีใครเสียชีวิต เพราะอย่างน้อยๆ “สรรพคุณ” ก็บอกไว้แบบนั้น
 

6.

ทว่าในความเป็นจริง มีบันทึกมากมายว่า “แก๊สน้ำตา” นั้นสามารถสร้างความเสียหายถาวรหรือกระทั่งหยิบยื่นความตายให้กับผู้สัมผัสมันได้ โดยเฉพาะถ้าคนๆ นั้นเป็นเด็ก
 
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ปรากฎทั่วไปในรายงานขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่โต้เถียงได้ แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ทุกวันนี้แก๊สน้ำตาเป็น “สารพิษ” ที่ไม่สามารถนำมาใช้ในสงครามได้ เพราะถือเป็น “อาวุธเคมี” ตามสนธิสัญญา และข้อเท็จจริงที่ว่านี้ ทำให้มันถูกใช้ “ปราบม็อบ” มายาวนานเกือบศตวรรษ
 
ถึงอย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่ได้ลบล้างสถานะการเป็น “อาวุธเคมี” ของแก๊สน้ำที่ถูกแบนในสงครามอยู่ดี
 
อ้างอิง: