คุยกับ ‘แม็กซ์ เจนมานะ’ เจ้าของเพลงดัง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ถึงประเด็นทางสังคม และการเมือง
ท่ามกลางกระแสทางการเมืองที่ร้อนระอุในปัจจุบัน จะเห็นว่ามีประเด็นและการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเมืองเกิดขึ้นจากประชาชนหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเยาวชน-นักศึกษา หรือแม้กระทั่งศิลปิน-นักดนตรี
แม็กซ์ เจนมานะ เจ้าของเพลงดัง ‘วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า’ ที่เพิ่งปล่อยเพลงใหม่ล่าสุดออกมาในชื่อ ‘วันนี้ฉันอยากไปทะเล’ ก็เป็นหนึ่งในศิลปินที่ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นสังคมการเมืองอย่างตรงไปตรงมา และพยายามใช้แสงที่ตัวเองมี เพื่อทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง ซึ่งการออกมาแสดงความคิดเห็น หรือ Call out ก็ทำให้มีราคาที่ต้องจ่ายเหมือนกัน
อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจประเด็นทางสังคม และการเมือง
หิวแสง อยากดัง จริงๆ อยากดัง เราปล่อยเพลงโต๊ะจีนวันที่ 14 ตุลา คิดมาหมดแล้ว แต่แม่งไม่ดังไง แต่ไม่ค่อยมีใครถล่ม เขาคงไม่สนใจคนตัวเล็กแบบเราหรอก
คำว่า ‘หิวแสง’ เนี่ย ควรจะทำความเข้าใจมันใหม่ มันไม่ผิดที่จะหิวแสงเว้ย แค่มึงใช้แสงให้ถูกต้องก็โอเคแล้ว เราคิดว่าทุกคนควรจะใช้แสงตัวเองให้ถูกต้องครับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเป็น อินฟลูเอนเซอร์ ดารา คุณเป็นนักกีฬาหรือเป็นอะไร คุณมีแสงของคุณ อย่างน้อยคุณมีการเคลื่อนไหวของตัวเองที่สามารถผลักดันสังคม ให้มันไปได้ แล้วมันจะส่งผลกระทบกับวงการคุณนะ
คิดว่าเราพูดคือเพื่อตัวเองเหรอ ก็ใช่ เพราะมันจะกลับมาหาผมอีกที สมมติว่าแบบ ถ้าการเมืองดี วงการเพลงจะดีไหม วงการหนังจะดีไหมเอเจนซี่จะดีไหม หรือแบบถนนเราจะดีไหม อันนี้ใครจะไปรู้ แต่มันก็ควรจะพูดได้ มันจะกลับมาแอคชั่นเท่ากับรีแอคชั่น จักรวาลนี้มันเป็นแบบนี้หมด เราทำอะไรไป มันก็จะกลับมา
แล้วเริ่มสนใจประเด็นนี้มาตั้งแต่เมื่อไร
เราเริ่มสนใจ ตอนนี้มันเ-ี้ยจริงๆ (หัวเราะ) เราค่อนข้างอิกนอแรนซ์นะ คืออิกนอร์เป็นสันดานเลย ตั้งแต่มัธยมปลายคือเราไม่เข้าแถวแต่ไม่รู้เรียกอิกนอแรนซ์เปล่านะ แต่เราเรียกตัวเองแบบนี้ อาจารย์ไม่เคยเห็นผมเลย แต่เราเรียนโอเคหมด เข้ามหาลัยเราก็ไม่เข้าชมรมอะไร กลับบ้านอ่านการ์ตูน เล่นดนตรี
ถ้าคนอย่างผมออกมาพูด มันต้องเ-ี้ยริงๆ มันไม่จำเป็นต้องเป็นชุดนี้ ชุดไหนเราก็ต้องพูดแต่เลเวลขนาดนี้มันรับไม่ได้ เราก็ต้องใช้สิ่งที่เรามีลองดูว่าจะทำอะไรได้ไหม เพราะเราก็เจ็บปวดกับโครงสร้างนี้เหมือนกัน มันเป็นโครงสร้างที่เราใช้เวลา กว่าจะผ่านมันมาได้
อย่างระบบการศึกษา มุมมองความคิดของผู้ใหญ่ สิ่งที่ถูกสั่งสอนมา และอำนาจนิยม ทำให้เราสับสนมาก ความคิดสร้างสรรค์มันไม่เกิดหรอกในสภาพแวดล้อมแบบเนี่ย มันยากมากเลย
คิดว่ามีผู้คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงไหม
เราว่าหลายๆ ประเทศมีคนกลัวการเปลี่ยนแปลง แล้วก็จะมีคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลง มีสองอย่างนี้ในตัวทุกคน แต่มันก็จะเอนไปทางไหนทางหนึ่ง หรือบางครั้งในช่วงชีวิตอาจจะเปลี่ยนก็ได้
เขาถึงเรียกว่าซ้ายขวา อนุรักษ์ หรือว่าซ้ายอะไรงี้ แต่ไม่มีใครผิดนะ เพราะว่าถ้าปัดขวามาเป็น 50 – 80 ปีงี้ ก็ควรอยู่ที่เดิมเว้ย แต่ถ้าไปซ้ายตลอดก็วนอยู่ที่เดิมเว้ย มันต้องลองซ้ายลองขวา เพราะมันไม่มีตัวเลือกที่ตายตัวในแต่ละรอบ เราดูฉลาดวะ (หัวเราะ) แต่อย่าเชื่อเราเลยเว้ย เราก็แค่นักดนตรี
ทำไมทุกคนควรมีสิทธิ์พูดหรือแสดงออกอย่างมีอิสระ
นั่นดิ เพราะเราอยากพูดผมก็ต้องได้พูดปะวะ แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้พูดนะ มันเป็นสิทธิ์ของเราที่จะพูดหรือไม่พูด หรือรู้กาลเทศะ ไปขึ้นเครื่องบินก็ไม่พูดเรื่องระเบิด แต่วิจารณญาณของแต่ละคนต้องฉลาดไปเรื่อยๆ ในการพัฒนาของสติปัญญาของมนุษย์ใช่ไหม คือคนสมัยนี้ก็น่าจะฉลาดกว่าคนสมัยก่อน ไม่ได้หมายถึงสมองดีกว่านะ แต่คือมีความรู้ที่ถูกต้องเยอะขึ้น คือเราได้รู้ในสิ่งที่กว่าคนแต่ก่อนเขาจะรู้ เดิมมันใช้เวลานานมาก ซึ่งอิสระในแต่ละยุคก็ต้องเพิ่มขึ้น เราก็ไม่รู้อะ
คิดว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคืออะไร
การไม่กล้าตั้งคำถามกับความศรัทธา คือการตั้งคำถามกับความศรัทธามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศเรา มันถูกแช่แข็งมานานแล้วก็กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ผู้ใหญ่เขาว่ายังไง เราก็ต้องว่างั้น ตัดผมวันพุธไม่ได้ก็ไม่ต้องตัด กวาดพื้นกลางคืนก็ไม่ควร ทำไมเหรอ คือมันควรจะตั้งคำถามกับความงมงายมากขึ้น ฝรั่งก็มีคนงมงายนะ แต่มันก็มีคนล้อเลียนเขาได้ หรือตั้งคำถามได้
อาจจะเพราะว่าเราตั้งอยู่บนสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจกันมากไปหน่อย เพราะมันน่ากลัวในการพึ่งพาตัวเองจริงๆ อันนี้คือสิ่งที่ศาสนาพุทธพูดด้วยซ้ำ เป็นการพึ่งพาตัวเอง แต่จริงๆ มันยากมากนะ คือการเอาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจออกเลย ตั้งคำถามกับอะไรที่ยึดไว้ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ลองดู ลองเอาออกไป กล้าเปล่า แล้วมันต้องใช้ความกล้าหาญมาก
อย่างคนที่อายุเยอะหรือโตมากับสิ่งนี้มันไม่ผิดนะ แต่ถ้าเป็นที่อื่นหลายคนก็คงเกษียณ หรือพัก ปล่อยมือแล้ว แต่คนเหล่านี้ยังมีแนวทางในการขับเคลื่อนอยู่ เพราะยังตั้งอยู่บนความเชื่อฟัง ความเชื่อ ความศรัทธา อำนาจนิยม ความงมงายบางอย่างที่เราพูดนี่มันจะดูไม่ดี แต่มันก็เป็นความจริง
การพูดมันอาจจะส่งผลกระทบต่องานที่รัก กลัวบ้างไหม
โอเค เราจะบอกเลยว่าไม่ใส่ใจ แต่ว่าจุดเริ่มต้นของคนที่กำลังสงสัยในคำถามนี้อยู่ คือถามก่อนเลยว่าสิ่งที่คุณจะพูดเนี่ย คนจะชอบพูดแบบว่า ถ้าเกิดว่าไปกระทบคนอื่น ความเชื่อความศรัทธาคนอื่น ไม่พูดดีกว่าไหม ต้องรู้ก่อนว่า ความเชื่อความศรัทธาบางอย่าง มันอาจจะทำให้เกิดผลกระทบกับอย่างอื่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณพูดคุณต้องเชื่อก่อนว่า สิ่งที่คุณเชื่ออ่ะถูกแล้ว แล้วพอเราพูดไปแล้วมันก็จะมีมูลค่าของความเสียหาย คือเขามีเรื่องของเขา แต่ถ้าคนไหนที่แน่ใจแล้วว่าเอาไหว ก็ทำเลย ก็พูดแค่นี้แหละ
กำลังพูดถึงการ Call out หรือเปล่า
ใช่ คืออยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ แต่คนก็จะรู้ว่าคนไหน.. มันก็โชว์นิสัย อย่างตอนนี้มันคือ การยืนข้างความเท่ากัน มันคือการยืนข้างสิทธิมนุษยชน แล้วการไม่ออกตัว ก็แปลว่าคุณคิดเหมือนอีกฝ่าย หรือคุณอิกนอแรนซ์ อิกนอแรนซ์ไม่ผิด เพราะว่าคุณอาจจะไม่สนใจจริงๆ ไม่ใส่ใจจริง แฮปปี้ก็โอเค เรื่องของเขาล่ะกัน แต่อีกอันหนึ่งก็คือเขารู้ว่าเขาจะเสียหายอะไร ซึ่งบางเคสมันก็น่าเข้าใจ ก็แล้วแต่
มีราคาที่ต้องจ่ายไหม
ก็มี เราก็รู้เลยว่าเราไม่ได้สนใจคำพูดคนขนาดนั้น เพราะเขาก็ไม่ได้ฟังเราอยู่แล้ว แล้วก็เรื่องงานคือ เราก็ไม่ค่อยแคร์อยู่แล้ว เราก็ปฏิเสธงานไปเหมือนกัน ปฏิเสธงานที่เขาแบบเหมือนเป็นพรีเซนเตอร์เลย แล้วเขาบอกว่าถ้าเซ็นต้องไม่พูดเรื่องการเมืองตลอดระยะเวลาการเซ็นสัญญา เราก็ถามว่าแล้วจะซื้อเราทำไม ถ้าซื้อเราแล้วไม่เป็นตัวเรา แบรนด์ดิ้งเราก็เสีย แบรนด์คุณก็เสีย คนก็ไม่เชื่อเรา แฟนคลับเราก็จะเสียความเชื่อถือ เราผมก็ปฏิเสธไป
และถ้าสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องหนึ่งให้ดีขึ้นได้ อยากเปลี่ยนอะไร
เราอยากให้ปัญหาภาคใต้จบ เพราะเขาไม่สมควรจะเจอสิ่งที่พวกเขาเจอ เราคิดว่าเขาเสียสละ และสู้มามากแล้ว เราอยากให้มันจบ
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาทั่วไป ดารา นักแสดง ไปจนถึงคนมีชื่อเสียง หรือมีอำนาจก็ตาม ต่างมีสิทธิ์ในการ Call out แสดงความคิดเห็นทางสังคม รวมถึงการเมืองบนพื้นฐานของความจริง และความถูกต้อง เพราะทุกเสียงล้วนมีความหมาย อีกทั้งถ้าหากได้ลองศึกษา ทำความเข้าใจแล้วนั้นการเมืองเป็นเรื่องที่อยู่รอบๆ ตัวเรามากกว่าที่คิด จึงไม่ควรเพิกเฉยอีกต่อไป
สามารถรับชมเรื่องราวหิวแสง คอลเอาท์ อิกนอร์แรนซ์แบบเต็มแม็กซ์ กับแม็กซ์ เจนมานะ ได้ที่: https://bit.ly/3ediFVQ