4 Min

ถอดคอนเซ็ปต์ในอัลบั้ม ‘ภาคพิสดาร’ ของ ‘ไททศมิตร’ ที่หยิบแนวคิดไทยๆ มาสร้างมุมมองใหม่

4 Min
314 Views
31 Jul 2024

เมื่อเอ่ยถึงวงดนตรีเนื้อหาเพื่อชีวิตที่มาแรง หนึ่งในนั้นต้องมีวง ‘TaitosmitH’ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาพวกเขากลับมากระตุกต่อมผู้ฟังอีกครั้ง ด้วยการปล่อยอัลบั้มลำดับที่ 3 อย่าง ‘ภาคพิสดาร’ 

สำหรับความน่าสนใจของอัลบั้มชุดนี้มีสไตล์ที่ชัดเจนและหลากหลายในแต่ละเพลง เนื้อหาที่เข้าถึงอารมณ์คนฟังได้ง่าย และสอดแทรกแง่คิดต่างๆ เอาไว้สะท้อนปัญหาชีวิตของคนในสังคมได้ดี

ส่วนจุดเด่นอีกอย่างที่อยากพูดถึงนั่นก็คือ ‘คอนเซ็ปต์’ อย่าง ‘Thai Pop Culture’ ที่พวกเขาเลือกหยิบมิติทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ สถานที่ กระทั่งตัวบุคคล ที่พบเจอและแทรกซึมอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด มาเล่าผ่านวัฒนธรรมกระแสป๊อปแบบไทยๆ เพื่อเป็นการฉีกกรอบ ไม่ยึดติดกับแบบเดิมๆ ทำให้เกิดมุมมอง ตลอดจนภาพจำใหม่ๆ ต่อสิ่งนั้นมากขึ้นไปอีก

ถ้าให้เราวิเคราะห์อัลบั้มที่มีความไม่ธรรมดานี้ ก็คงเริ่มตั้งแต่การตั้งชื่อของอัลบั้มว่า ‘ภาคพิสดาร’ ที่คาดว่าสื่อถึงอะไรที่แปลกประหลาด พิลึก ซึ่งหากเรามองย้อนกลับไป ‘ภาคพิสดาร’ เป็นคำที่นิยมใช้กันในยุค 1990 โดยถูกนำมาใช้ในเชิงล้อเลียน เสียดสีกับอะไรบางอย่าง ทำให้อัลบั้มนี้เราจึงอยากนิยามว่ามันไม่ใช่แค่การถ่ายทอดเรื่องราวความตลกร้าย ที่ยียวนกวนอารมณ์ ทว่ายังสามารถหยิบจับวัฒนธรรมที่เข้ากับยุคสมัย มาถ่ายทอดได้แบบลงตัว สร้างความสดใหม่ ตื่นตาตื่นใจ และน่าติดตามมากๆ 

ในอัลบั้มลำดับที่ 3 ของไททศมิตร ได้ปล่อยออกมาทั้งหมด 6 เพลง ทั้งนี้ ประเดิมเพลงแรกด้วย ‘ทนได้ทุกที’ ที่แค่เริ่มก็พิสดารตั้งแต่การเลือกหยิบเพลงฮิตในอดีตของศิลปินดัง ‘ตั้ม สมประสงค์’ ซึ่งถูกนำมาเรียบเรียงและนำเสนอด้วยความหนักแน่นตามสไตล์ของพวกเขา เพื่อถ่ายทอด พร้อมขยี้ความรู้สึกของคนเจ็บเจียนตายแต่ยังต้องทนให้ไหว ที่มาในรูปแบบความสัมพันธ์ที่จบลงด้วยการจากลา โดยเรามองว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องราวความรักของคนช้ำๆ ที่ต้องถูกแฟนสาวบอกเลิกกลางสนามรบ ทว่ามองรวมไปถึงการสูญเสียเพื่อนร่วมรบ ตลอดจนการถูกกักขัง การถูกทรมาน ให้ออกมาหนักแน่น จนเราสัมผัสได้ถึงความเดือดถึงใจและถึงอารมณ์ แถมเพลงนี้ยังได้ ‘ผู้กององอาจ’ ที่รับบทโดย ‘ปั๋ง-สุเมธแอนด์เดอะปั๋ง’ มาร่วมถ่ายทอดความพิสดารด้วย 

ตามมาด้วย ‘จะหมัดจะมวย’ กับความพิสดารที่ว่าเพลงเพื่อชีวิตมันไม่ได้มีแค่เรื่องต่อยตีหรือการใช้กำลังเท่านั้น หากได้ลองฟังเนื้อเพลงดีๆ นี่เองที่พิสดาร เพราะได้เปลี่ยนภาพจำไปว่ามีอะไรให้พูดตรงๆ อย่าใช้อารมณ์มากกว่าการใช้กำลัง ด้วยการใช้ภาษาที่ทั้งสนุก ดุดันในสไตล์ของพวกเขา อีกทั้งความพิเศษของเพลงแรกนี้ยังได้ ‘จาตุรงค์ มกจ๊ก’ ไอคอนโดดเด่นจากภาพยนตร์ ‘แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า’ มาร่วมแสดงในมิวสิกวิดีโอด้วย

ถัดมาคือเพลง ‘แอบเก็บความในใจไว้ภายในแว่นเรย์แบนสีดำ’ ที่ว่าด้วยเรื่องราวความรักแบบที่ไททศมิตรไม่เคยทำมาก่อน เล่าผ่านคาแรกเตอร์ของผู้ชายลุคเซอร์ๆ ไม่ค่อยพูดเรื่องความรัก และใส่แว่นเรย์แบนสีดำ เพื่อเปรียบเทียบการปกปิดความรู้สึกทางสายตา ต่อเรื่องราวประสบการณ์ที่หลายคนมักประสบ กับการต้องเก็บซ่อนความรู้สึกที่มีให้กับคนคนหนึ่งไว้ในใจ โดยเพลงนี้ได้ไอคอนชื่อดัง ‘ต๊อก ศุภกรณ์’ จากภาพยนตร์ ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ มาร่วมสร้างตำนานเพลงรักอกหักแสนเศร้านี้ด้วย

ไปกันต่อที่เพลง ‘เพื่อนผมเกมได้ไง’ ซึ่งเรายังคงเห็นคอนเซ็ปต์ Thai Pop Culture ตั้งแต่การนำ ‘เปิ้ล-นาคร ศิลาชัย’ มาร่วมสร้างความฮาในบทบาทที่อาจทำให้ทุกคนหวนนึกถึงตัวละคร ‘จ่าเริง’ จากภาพยนตร์เรื่อง‘สาระแนเห็นผี’ ขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งสัมผัสแนวทางดนตรี ที่ได้ Rapper ‘Tang BadVoice’ มาผสมผสานกับแนวทางของไททศมิตร จึงออกมาเป็นรูปแบบความสนุกสนานของคนไทยหัวใจสามช่าหรือ Thai Country Pop ที่เป็นเหมือนศิลปวัฒนธรรมไทย เลยกลายเป็นความพิสดารตั้งแต่ตัวเนื้อร้องที่เสียดสี ไปจนถึงบรรยากาศบนโรงพักเพื่อประชาชน ที่ทำให้ประเด็นและบริบทสังคมไทยในมิติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน แฝงอยู่ในเพลงสามารถเข้าถึงง่าย และไม่ดูซีเรียสเกินไป 

และ ‘กี่ฤดู’ อีกหนึ่งเพลงช้าเนื้อหาเข้มข้นที่เศร้าที่สุด โดยพวกเขาเลือกถ่ายทอดเรื่องราวการจากลาแบบไม่หวนกลับมา ที่มี Pop Culture ของวงการบันเทิงไทยอย่างนักแสดงมากฝีมือ ‘หนุ่ม-อรรถพร ธีมากร’ ที่ฝากผลงานสุดซึ้งจากภาพยนตร์รักโรแมนติก ‘The Letter’ มาต่อยอด พร้อมกับร่วมถ่ายทอดอารมณ์ของคนที่ต้องสูญเสียคนที่รัก ไม่พอแค่นั้นยังดึงเอาปัญหาช่วงวิกฤตโรคระบาด ที่หลายคนต้องเผชิญมาเป็นไอเดียของเพลงนี้ รวมทั้งประสบการณ์ความเจ็บปวดที่ต้องคิดถึงใครบางคน และวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม ที่เรามักพบเห็นอยู่บ่อยๆ มาสื่อความหมาย กระทั่งสร้างความสดใหม่ให้กับเพลงของพวกเขา 

ปิดท้ายอัลบั้มนี้ด้วยเพลง ‘หมวกกันน็อค’ ที่ปล่อยออกมาล่าสุด โดยจะเห็นว่าเนื้อเพลง และ Lyric Video เป็นการเสียดสีวิถีชีวิต รวมถึงสภาพแวดล้อมสังคมไทยแบบพิสดาร และจี้จุดจริงๆ ตั้งแต่การนำเสนอผู้คนที่ต้องเดิมริมถนน แต่กลับต้องเจอฟุตบาทที่ไม่เป็นมิตร ทั้งขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ มีพี่วินมอเตอร์ไซค์คอยจอดรอรับผู้โดยสาร กระทั่งพี่หาบขนมขาย ที่ล้วนแล้วแต่เสี่ยงอันตรายและอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ บอกได้เลยว่านี่แหละ Thai Pop Culture ของแทร่

จากทั้งหมด 6 บทเพลงในอัลบั้มลำดับที่ 3 สิ่งที่เห็นชัดๆ เลย คือการคงคอนเซ็ปต์ Thai Pop Culture มาสอดแทรกอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลงต่างๆ โดยเฉพาะการนำเอา Iconic Thai Pop Culture หรือกลุ่มคนที่เป็นที่จดจำมานำเสนอ เพื่อสร้างสีสันและความสนุกสนานอย่างต่อเนื่อง แถมยังตอกย้ำให้เห็นถึงการต่อยอดตัวคอนเซ็ปต์ให้ล้ำไปอีกขั้น ด้วยกิมมิกพิเศษๆ ที่พวกเขาได้นำเสนอ ‘Thai Culture Current Event’ อย่างการฉายหนังกลางแปลง กิจกรรมที่คุ้นหูคุ้นตา บ่งบอกถึงวัฒนธรรมความบันเทิงบ้านเรา มาออกแบบร่วมใช้เป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มด้วย 

บอกได้เลยว่าการกลับมาในอัลบั้มลำดับที่ 3 ของ TaitosmitH นี้ มีดีมากกว่าที่หลายคนคิด เพราะไม่ใช่เพียงเบื้องหน้าของตัวเพลงที่มีความหมายดี สื่อสารตรงไปตรงมา ทัชใจคนฟัง แต่ยังมีเบื้องหลังที่โดดเด่นของไอเดียตัวคอนเซ็ปต์ที่ลึกซึ้ง เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมป๊อปๆ แบบไทยในมิติต่างๆ เข้ามา เพื่อฉีกภาพลักษณ์เดิมๆ ของวงให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

สามารถติดตามผลงานเพลงของวง TaitosmitH ได้ทาง YouTube GeneLab