1 Min

ถ้ามีแฟนแล้วไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม ขออยู่คนเดียวแบบมีความสุขดีกว่า

1 Min
1801 Views
20 Feb 2023

เมื่อถึงวัยหนึ่งการอยู่เป็นโสดมักถูกตั้งคำถามมากมายจากคนรอบข้าง 

ทำไมถึงยังไม่มีใคร?

อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ?

ไม่อยากแต่งงานเหรอ?

อาจถามด้วยความเป็นห่วงหรือสงสัยแต่อีกนัยหนึ่งคำถามเหล่านี้อาจแฝงไปด้วยอคติที่มีต่อความโสดของคนที่มีคู่แล้วที่คิดแทนคนโสดว่าการอยู่คนเดียวต้องไม่มีความสุขแน่เลย

อันที่จริงแล้วอาจตรงข้ามกันคนที่อยู่เป็นโสดอาจมีความสุขมากกว่าคนที่มีคู่หรือคนที่แต่งงานแล้วก็ได้เพราะพวกเขามีเวลาและมีความอิสระในตัวเองมากกว่าคนที่มีคู่เพราะไม่ต้องคำนึงถึงใครอีกคน

ตามข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2560 พบว่า ชาวอเมริกัน มากกว่า 110 ล้านคน เลือกที่จะอยู่เป็นโสด และในปี 2562 ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ใหญ่ที่มีอายุระหว่าง 25-54 ปี ไม่มีคู่ (ไม่ได้แต่งงานหรืออาศัยอยู่กับคู่ครอง) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 29 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2533

ข้อมูลชุดนี้จึงแสดงให้เห็นว่าผู้คนกำลังเลือกใช้ชีวิตโสดมากขึ้นเหตุผลคือบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและสังคมได้เปลี่ยนไปแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในการแต่งงานลดลงและค่านิยมในปัจเจกนิยมเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีโอกาสทางการศึกษาอาชีพและมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้นจากเดิมที่ชีวิตผู้หญิงต้องผูกโยงกับค่านิยมบรรทัดฐานทางสังคมว่าการแต่งงานคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเกิดเป็นผู้หญิงต้องเป็นแม่ศรีเรือนแต่เมื่อถึงยุคที่ผู้หญิงมีสิทธิในชีวิตตัวเองมากขึ้นจึงไม่จำเป็นต้องมีคู่เพื่อที่จะตอบสนองความคาดหวังของสังคมแบบในอดีตอีกต่อไป

เอลยาคิม คิสเลฟ (Elyakim Kislev) รองศาสตราจารย์จาก School of Public Policy and Governance แห่งมหาวิทยาลัยฮีบรู (Hebrew University) และผู้เขียนหนังสือ ‘Happy Singlehood and Relationships 5.0’ กล่าวว่าคนโสดนั้นเข้าสังคมได้ดีกว่าคนที่แต่งงานแล้ว และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

อีกทั้งยังรักษามิตรภาพได้ดีกว่าคนมีคู่ หรือแต่งงานแล้ว เพราะคนมีคู่จำเป็นต้องใช้เวลาส่วนใหญ่กับคู่ของตน จึงอาจทำให้ต้องละทิ้งมิตรภาพไว้เบื้องหลัง

นอกจากนี้ด้วยการที่มีอิสระโดยไม่ต้องคำนึงถึงใครอีกคนทำให้คนโสดมีเวลาในการดูแลตัวเองและหาความสุขให้กับตัวเองได้อย่างไม่จำกัดนั่นเอง

อ้างอิง