Survival Shades of Human Being Called Ekasit เฉดขาว-ดำแห่งการเอาตัวรอดของชายชื่อเอกสิทธิ์
นับจนถึงวันนี้ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ภาพยนตร์ของ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ผ่านสายตาผู้ชมมาแล้วหนึ่งเดือนกว่าๆ นับเป็นสามสิบกว่าวันที่เขายอมรับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดอีกช่วงหนึ่งในชีวิตของเขา ที่ผ่านมาผลงานของเอกสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นมังงะอย่าง ‘My Mania’ หรือ การเขียนบทภาพยนตร์อย่าง ‘13 เกมสยอง’ หรือ ‘บอดี้ศพ#19’ และผลงานอื่นๆ อีกมากมาย จะทำให้เขารับมือกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดีก็ตาม แต่กับการรับมือกับเสียงตอบรับจากการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของตัวเองนั้น เอกสิทธิ์บอกว่าแตกต่างออกไป มันโลดโผน ทำให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ขึ้นสุดลงสุดราวนั่งรถไฟเหาะ และที่สำคัญที่สุด…เขาสนุกไปกับมัน
วันนี้ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ กำลังจะมีเวอร์ชันตัดต่อใหม่ ‘Survival Cut’ ที่ใช้สำหรับฉายในต่างประเทศและเริ่มฉายในไทยตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป BrandThink จึงชวนผู้กำกับคนนี้มาพูดคุยถึงความรู้สึกนึกคิดหลากรสชาติหลายเรื่องราว นับตั้งแต่วันที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกสู่สายตาผู้ชม รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทุกแง่มุม จนถึงวันที่กำลังจะมีเวอร์ชันใหม่ซึ่งสะท้อน ‘ด้านมืดของมนุษย์’ ได้ชัดเจนมากขึ้นเข้าฉายในโรงภาพยนตร์
‘ด้านมืดของมนุษย์’ นี้เองคือหัวใจในงานของเอกสิทธิ์ ที่ไม่ว่าจะเป็นงานชิ้นไหน รูปแบบใด เอกสิทธิ์ก็พร้อมจะพาผู้คนขึ้นรถไฟเหาะเพื่อออกสำรวจเฉดสีขาว-ดำแห่งหายนะของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์เทาๆ’ ที่ ‘ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา’ อยู่เสมอ
แต่วันนี้ คงไม่ต้องรอให้ใครต้องหลั่งน้ำตา เพราะ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ของเอกสิทธิ์ จัดอยู่ในหมวดการต่อโลงศพยื่นให้ผู้คนได้พิจารณาดูหายนะของมนุษย์ด้วยตัวเอง
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์เต็มตัว ถามจริงๆ ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง
จริงๆ คือก่อนฉายมันมีสภาวะอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บางวันมันรู้สึกว่า โอเค ได้ทำแบบนี้คนดูน่าจะชอบ อีกวันรู้สึกว่าคนดูจะเก็ตไหมวะ แต่วันที่เยียวยาทุกสิ่งมันคือวันที่มีรอบ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด GALA Premiere’ เรารู้สึกว่ามันเป็นการรวมความหลากหลายของคนที่รอดูหนังเรา ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ตอนที่ทุกคนปรบมือให้ เราตั้งใจเลยว่าจะใช้เสียงปรบมือของวันนี้ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
แปลว่าเสียงวิจารณ์มีผลต่อคุณ
เราต้องยอมรับก่อนว่ารสนิยมการดูหนังของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตอนนี้มันมีหนังเต็มไปหมดทุกช่องทาง ในโรงหนังเอย สตรีมมิงเอย เสียงวิพากษ์วิจารณ์หนังมันเป็นไปได้ทั้งหมด เราไม่สามารถควบคุมมันได้ ถ้าคนบอกว่าหนังดี หรือหนังแย่ พอปล่อยหนังออกไปแล้วก็ให้มันทำหน้าที่ของมันไป เราควบคุมอะไรไม่ได้มาก
ที่คนบอกว่าหนังดูยาก ส่วนตัวเรารู้สึกว่าหนังมันไม่ได้ยากขนาดนั้น เพียงแต่ว่ามันมีคนที่ดูรู้เรื่อง แล้วก็มีคนที่งง ส่วนตัวเรามองว่าหนังผี หนังวิญญาณ หนังสยองขวัญมันต้องเล่าไม่เคลียร์ ถ้าเคลียร์ทุกอย่างมันก็คือหนังแบบปกติ ความกลัวมันเกิดจากการปะติดปะต่อเรื่องราวที่เราไม่รู้แน่ชัดในสมอง มันจะต้องมีพื้นที่ที่ไม่ถูกเล่า และในความดำมืดนั้น ถ้าใครปะติดปะต่อแล้วเจอก็จะรู้สึกขนลุก นั่นล่ะมันคือพื้นที่นั้น ซึ่งหนังเราอยู่ในเส้นทางนี้
คุณกำลังอธิบายว่า ความกลัวมันทำงานผ่านสิ่งที่ไม่ได้ถูกเล่าผ่านสิ่งที่เล่าออกมาน่ะหรือ?
ใช่ มันคือห้องมืดๆ ที่เปิดประตูแง้มๆ แล้วไม่ได้เปิดไฟ ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าในห้องนั้นมันมีอะไรกันแน่ นั่นคือเหตุผลที่คนดูอาจจะงงได้ ถ้าเขาคิดว่าการที่หนังเล่าไม่เคลียร์ มันก็ถูกต้องแล้ว เราอยากทิ้งสเปซให้คิดนิดนึง เพราะถ้าให้เล่ามันก็แค่เปิดไฟในห้อง ก็เคลียร์เลยว่า อ๋อ ผีเป็นแบบนี้ ไอ้นี่มันกินแบบนี้ ซึ่งเรารู้สึกว่าคนที่เขาถวิลหาความดำมืด ชอบปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว หรือคนที่เป็นแฟนคลับเราเขาจะผิดหวัง ถ้าเล่าทุกอย่างให้เคลียร์ เราค่อนข้างอยู่กับเส้นทางนี้มาตลอดเลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นกับคำวิพากษ์วิจารณ์ เพียงแต่ว่าหนังมันอาจจะแมสขึ้น ก็มีคนออกมาบอกว่าดูแล้วงงมากขึ้น แต่จริงๆ มันทำหน้าที่ของมันอย่างนี้อยู่แล้วนะ สุดท้ายถ้าเราทำหนังผีที่เคลียร์หมดทุกอย่างก็จะโดนวิจารณ์อีกคือ หนังห่วย ไม่น่ากลัวเลย เส้นทางนี้ไม่โดนว่างงก็โดนว่าห่วย
คุณบอกว่าหลังจากที่หนังเข้าโรงไปแล้วผู้กำกับไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีก แล้วอย่างนี้เราในฐานะผู้กำกับสามารถกำหนดอะไรได้บ้าง
เรากำหนดหนังที่เราชอบได้ครับ ในช่วงเวลานั้นเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ทำในสิ่งที่เราคิดเอาไว้ แค่นั้นเอง พอเวลาผ่านไปมันจะเหลืออะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งสิ่งนั้นจะอยู่ตลอดไป หลายเรื่องที่ผมถูกด่าหรือถูกชม แต่พอเวลาผ่านไป มันจะเห็นอะไรบางอย่างหลงเหลืออยู่เสมอ เลยรู้สึกว่าอย่างน้อยในวันนี้เราได้ทำหนังที่เราเชื่อและชอบแบบนี้ออกมาแล้ว และก็เห็นว่ามีกลุ่มที่ชอบ เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ใช่กลุ่มแมสขนาดนั้น ก็ไม่เป็นไร
มีคืนไหนที่นอนไม่หลับบ้างไหม
ก็มีบ้าง แต่แปลกมากมันมาในคืนก่อนฉาย ก่อนงานกาล่าหลายวันเลย เพราะจินตนาการเราฟุ้งซ่านมาก เอาแต่คิดว่า ตัดต่อแบบนี้โอเคไหมวะ เพราะว่าจริงๆ หนังมันเป็นสิ่งที่ทำกันหลายคน ไม่ใช่เราทำคนเดียว มันมีโปรดิวเซอร์ มีอะไรอื่นๆ แต่คือมันดูกันหลายตา ตบตี ทะเลาะกัน และมีทั้งที่เราแน่ใจและไม่แน่ใจ อย่างที่เห็นคำวิจารณ์มันมีชอบครึ่งแรกไม่ชอบครึ่งหลัง ชอบครึ่งหลัง ไม่ชอบครึ่งแรก เป็นเรื่องปกติ เพราะเรารู้ว่ามันมีส่วนที่เราชอบ มันเป็นตัวเรา และมีส่วนที่เรารู้สึกไม่แน่ใจ แต่เราไม่ได้แอนตี้ เรารู้สึกว่ามันเป็นการทดลองในแบบหนึ่งที่ก็รับผิดชอบร่วมกัน พอฉายไปแล้วมันมีความชัดเจนขึ้น ในหลายๆ อย่างเลยรู้สึกว่าไม่มีปัญหา เรานอนหลับแล้ว
การต้องตกอยู่ในภาวะ ‘อยู่ตรงกลาง’ ที่ไม่รู้จะออกหัวหรือออกก้อย เป็นภาวะที่คุณน่าจะเคยผ่านมาแล้ว?
เราหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ พอดีเราอยู่ในกระแสการทำหนังแบบนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องแรกที่เราเจอ เราเคยเจอแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่ ‘13 เกมสยอง’ หรือตอนทำ ‘บอดี้ศพ..#19’ ก็เจอมาแล้ว มันก็โดนของมันอยู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้หนักหน่วงเหมือนสมัยนี้ ถ้าในยุคนั้นมีโซเชียลมีเดีย แบบนี้ผมว่าก็น่าจะเละเหมือนกัน
สำหรับคนทำงานสร้างสรรค์ ภาวะที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้ เหมือนเราพายเรืออยู่แล้วไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ตรงไหน คุณรู้สึกอย่างไรกับมัน
ชอบนะ คือเมื่อก่อนช่วงแรกๆ ที่ทำ ผมดันไปโฟกัสเอาคำแย่ๆ เหมือนกับที่เขาบอกว่าอิฐมันเรียงมามีระเบียบหมด แต่เราไปมองแต่อิฐที่มันเบี้ยวอยู่ก้อนเดียว เราว่าคนทำงานสร้างสรรค์หลายคนก็เป็นแบบนั้น แต่พอถึงจุดหนึ่งเราจะพบว่า ต่อให้อิฐแม่งเบี้ยวหมดทั้งกำแพง มีอิฐเพียงหนึ่งอันที่ตั้งตรงกับเราพอดี เราก็จะมองอันนี้ล่ะ
ตอนรอบกาล่า มีคนเข้ามาบอกว่า หนังพี่ดาร์กมาก ปลดปล่อยจิตวิญญาณเขาเลย เขาเห็นปีศาจในตัวเองแล้วเขาก็หลุดพ้น สำหรับเราเพียงพอแล้วนะ ในเชิงครีเอทีฟเราชอบนะที่หนังมันทำให้เกิดข้อถกเถียง เพราะเราต้องยอมรับว่า ทุกครั้งที่มีสิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้น มันจะมีการต่อต้าน มีใช่และไม่ใช่ ถ้ามันออกมาคนด่าห่วยหมด อันนี้เรานอยด์แน่นอน แต่อันนี้มีคนบอก “เอาอีก” “พี่ต้องทำหนังปีละสองเรื่องนะ” มันมีคนพูดแบบนั้น และเขาไม่ใช่เพื่อนหรือคนใกล้ตัว แต่คือคนที่เราไม่รู้จัก ตอนนี้คนถามหาเบื้องหลังตัวละครเยอะมาก บอกอยากให้แตกออกมาเป็นจักรวาล แค่นี้เราก็ฟินแล้ว รู้สึกว่ามันทำให้เรายังคงมุ่งมั่นในเส้นทางนี้ต่อไป
ผลงานที่ผ่านมาของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนหรือบทภาพยนตร์ เรารู้สึกว่า เอกสิทธิ์จะทำงานอยู่บนเฉดสีขาว-ดำของมนุษย์ที่มีหลายเฉดเหลือเกิน
เราค่อนข้างย้อนแย้งในตัวเองนะ ใครหลายคนได้เจอตัวเราก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมคาแรกเตอร์เราไม่เหมือนหนังที่เราเขียนเลย เพราะว่าในความดาร์ก เราใส่ความสว่างไปด้วย และในความสว่างนั้นก็มีความดาร์ก มันเป็นหนังสยองที่มีความดาร์กหลายเลเยอร์ เราทำสิ่งเลวร้ายลงไปในหนัง แต่ด้านหนึ่งเราก็เป็นห่วงสังคม เราก็มีวิพากษ์วิจารณ์ หนังเราทั้งหมดมันคือคำเตือนนะ จริงๆ แล้ว อย่าง ‘13 เกมสยอง’ มันจะบอกว่า มึงอย่าโลภเกินไปนะ โลภจนแม่งไม่เป็นมนุษย์ มึงจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ส่วน ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ มันพูดถึงการอยู่ร่วมกันไม่ได้ การกำจัดกัน สุดท้ายปลายทางหายนะมันก็กลับมาที่มึงนะ
มันคือคำเตือนง่ายๆ ทุกเรื่องเลย เพียงแต่มันอยู่บนพื้นฐานความสนุก ความระทึกที่เราต้องเสิร์ฟเขา เพราะเขาไม่ได้ต้องการคำสั่งสอน เขาต้องการแบบ…กูทำงานมาเครียดแล้ว กูอยากจะไปเจออะไรที่เครียด กดดัน เสน่ห์ของหนังสยองขวัญ มันคือการถูกบีบคั้น ถูกบีบอัดนั่นแหละ เหมือนการกินเผ็ด หรือกินหมาล่ามันต้องเผ็ด มันจะต้องสุดและโบยตีเรานิดนึง มันมีความน่างงเหมือนกันที่แม้เราจะรู้ว่า พริกมันเผ็ด แต่ทำไมเราก็ยังกัดมันลงไปแล้วเผ็ดจะเป็นจะตาย กินน้ำก็ไม่หายนะ แต่เราก็ยังถวิลหามัน มันคือสิ่งที่หนังสยองขวัญเป็นนั่นแหละ
นั่นสิ ทำไมมนุษย์ถึงเป็นแบบนั้น
มันอาจจะรู้สึกว่า เรายังมีชีวิตอยู่มั้ง เราได้เจอเรื่องที่ดาร์กสุดๆ แย่สุดๆ แล้วเราก็กลับมาได้ มันทำให้ตระหนักว่าโลกเราไม่ได้แย่ขนาดนั้น มันเป็นการเยียวยาอีกแบบหนึ่ง บางคนต้องการการเยียวยาแบบแสงสว่าง บางคนต้องการการเยียวยาแบบ มึงช่วยกระทืบกูทีกูจะได้กลับมาสู้ได้ รู้สึกว่าสะใจ มันจะเป็นแบบนี้แหละคนเราคุณกำลังบอกเราว่า เรากำลังมีชีวิตและกำลังใช้มันอยู่นะ นี่คือสิ่งที่คุณใส่เข้าไปในหนังหรือเปล่า
เรามีความเชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เคยเขียนในการ์ตูนด้วยว่า ที่เขาบอกหลับฝันดีนะ แต่เราจะชอบอวยพรให้ทุกคนหลับฝันร้ายนะ เพราะตื่นมาเราจะเจอเรื่องที่ดีกว่าที่เราฝัน เราเคยฝันว่าลูกหาย แต่ตื่นมาแม่งเป็นแค่ฝัน แล้วเราก็ได้กอดลูกเรา มันคือโอกาสใหม่ เราก็เลยรู้สึกว่า หนังสยองขวัญมันทำหน้าที่แบบนั้นเหมือนกัน
การที่เราทำหนังตีแผ่ด้านมืดของมนุษย์ ทั้งที่เราก็ไม่ได้เป็นคนที่ดำมืดขนาดนั้น ทำไมตัวตนจริงๆ กับงานที่นำเสนอถึงได้ขัดแย้งกัน ผู้กำกับหนังรอมคอม (โรแมนติก-คอเมดี) ฟีลกู๊ด บางคนตัวจริงก็ดาร์กเสียเหลือเกิน
อันนี้ก็เป็นปริศนาที่หลายคนสงสัย เราเองก็งง ตอบในมุมของตัวเอง เราแค่เอาด้านมืดไปใส่ในงานหมด คือเราไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ความดิบเถื่อนหรือการอยากเอาคืนมันไปรวมอยู่ในงาน แล้วเราก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น มันเหมือนเราสื่อสารกันด้วยคำว่า ‘สมมติ’ ขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา
หนังสยองขวัญมันคือการสมมติอะไรสักอย่าง เพื่อที่ให้เรายังได้ดำเนินชีวิตต่อไป มันต้องมีการชำระความคิดดำมืดเหล่านั้น ซึ่งเราชวนขุดหา ชวนคุ้ยตะกอนที่อยู่ในใจ มีคนเคยบอกว่า หนังพี่โคตรดาร์กแต่แม่งชำระจิตใจ ชำระจิตวิญญาณของผมเลย มันคือการไปดึงความดาร์กออกมาให้เห็นปุ๊บแล้วรู้สึกว่า ของบางอย่างแค่เห็นมันก็หายไปแล้วนะ โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปทำสิ่งชั่วร้าย ไม่จำเป็นจะต้องโหดในชีวิตจริง บางครั้งการกดข่มกันแล้วมันกดข่มไม่ได้จริง เราว่ามันต้องมีที่ระบายออกซะหน่อยไหม
เหมือนจะเข้าใจง่ายดีนะ แต่บางคนก็ยังมองว่าสิ่งนี้คือความชั่วร้าย
สังคมเราถูกหล่อหลอมจากการเรียนหนังสือแบบให้คะแนน จากการชี้นำว่าอันนี้ถูก อันนี้ผิด พอโตขึ้นมา เรียนมาตั้งยี่สิบกว่าปีมันมีแต่ถูกกับผิด แล้วพอโตขึ้นมันก็จะไปให้คะแนนคนอื่นต่อ โดยที่ไม่กล้าคิดอะไรออกไป มันจะถูกแปะป้ายว่า อันนี้เป็นคนเลวนะ คิดแบบนี้ได้ยังไง เราไม่มีอิสระทางความคิดที่แท้จริง
แต่ในมุมของผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่ง เขาก็อยากหลบหนีไปเจออีกโลก เพราะโลกข้างนอกเราถูกบดบี้จนชีวิตไม่มีอะไรง่ายแล้ว เรามีเงิน 100 บาท ก็อยากจะไปเจอหนังที่ทำให้รู้สึกดีบ้าง คุณคิดว่ายังไง
ถ้าพูดถึงหนัง ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ มันก็ทำหน้าที่แบบนั้นอยู่นะ มันคือคุณจ่ายเงินเข้ามาเพื่อที่จะไปนั่งรถไฟเหาะ คุณก็ต้องปล่อยใจให้ไหลไปกับรถไฟเหาะ คุณกรี๊ดออกมาได้เลย ไม่ต้องพยายามเข้าใจก็ได้ว่ารถไฟเหาะมันอยู่บนรางยังไง ไม่อย่างนั้นก็จะงงแล้วก็หงุดหงิดกับมัน เรารู้สึกว่า กับหนังเรื่องนี้ใช้แค่ความรู้สึกนำทางก็ได้ มันคือความทรมานที่คุณควรจะปลดปล่อยมันออกมา
ในอุตสาหกรรมหนังไทย หนังที่ทำเงินคือหนังตลกและหนังผี ซึ่งดูแล้ว ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ ก็ไม่ใช่หนังตลกและคล้ายจะเป็นหนังผี
เรารู้สึกว่าหนังผีไทยมันมีคนทำอยู่แล้ว ถ้าเรากระโดดไปทำอีกมันก็เป็นแค่หนังผีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าแบบนั้นคิดว่าก็ไม่ต้องเอาเรามากำกับก็ได้ ถ้าเราทำออกมาทั้งที เราอยากทำโดยที่เข้าไปในพื้นที่ใหม่ๆ ลองเข้าป่า ถางป่าเพื่อหาเส้นทางใหม่ เผื่อว่า เฮ้ย ทางนี้มันได้ว่ะแล้วมันก็ตามกันมา กลายเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่น่าจะเป็นผลดีต่อตลาดโลกด้วย แล้วถ้าตลาดไทยมันดี มันก็เหมือนเราไม่ได้ส่งออกข้าวกันอย่างเดียว ทางที่เราชัดก็คือ แนว Psychological Thriller หรือปีศาจอะไรแบบนั้น
ซึ่งจริงๆ คุณคิดว่าเส้นทางนี้ก็มีคนดูอยู่เสมอแหละ?
มันมีคนอยากหาของใหม่นะ เขาถวิลหาอยู่แหละ แต่เราต้องทำของใหม่ที่มันเป็นมิตรมากกว่านี้ หรือสื่อสารกันมากกว่านี้ สมมติว่า ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ เขาชอบคาแรกเตอร์ที่เราใส่ไว้ทั้งหมด และไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมรับ แค่เราใส่น้อยไป เหมือนมันอร่อยแต่เครื่องน้อย ตัวละคร พรานดำ หรือตั๊บ ตาไฟ เขาบอกมีบทน้อยจัง เราก็อาจจะต้องเติมเครื่องเข้าไปในคราวหน้า อย่างใส่ฉากแดนปะทะกับตั๊บ ตาไฟ เป็นฉากต่อสู้เซอร์วิสหน่อย เราก็เรียนรู้ตรงนี้ ไม่ได้แอนตี้นะ เราเสิร์ฟกับฝั่งที่ชอบเลย แต่ฝั่งที่ไม่ใช่ คราวหน้าเขาจะรู้แหละว่าไม่ใช่หนังเขา ไม่เป็นไร เพราะหนังมันไม่ได้ทำเพื่อทุกคนอยู่แล้ว
คุณถนัดทำหนัง Psychological Thriller เกี่ยวกับปมความกลัว แล้วคุณล่ะส่วนตัวกลัวอะไร
กลัวการพลัดพรากจากลา กลัวเสียคนรัก กลัวเสียลูก พวกความฝันร้ายๆ หาลูกไม่เจออะไรแบบนี้ ตอนนี้น่าจะกลัวการสูญเสียลูกและครอบครัว
แต่ในความเป็นจริง วันหนึ่งเราก็ต้องแยกจากกัน
ใช่ ซึ่งมันเป็นความกลัวแท้จริงที่ซ่อนอยู่ ในวันหนึ่งคนเราทุกคนจะต้องถูกรีเซ็ต เมื่อเรารักกันผูกพันกันมากแค่ไหน สุดท้ายเราจะถูกรีเซ็ตเป็นศูนย์ ไม่รู้จักกันอีกเลย หมายถึงว่าถ้าชาติหน้ามีจริง กลับมามันจำกันไม่ได้อีกแล้ว แม่งโคตรสูญเปล่าเลยแบบรู้จักกันมาขนาดนี้ ทำมาขนาดนี้ แลกอะไรมาขนาดนี้ แล้วก็กลับไปเริ่มเป็นเด็กใหม่หมด มันค่อนข้างว้าเหว่นะความเป็นมนุษย์น่ะ
แต่มันทำให้ชีวิตนี้มีความหมายหรือเปล่านะ
ใช่ เราเลยรู้สึกว่าทุกครั้งที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เราชอบคิดว่า เราย้อนเวลากลับมาแล้ว คือจริงๆ เราอาจจะนอนอยู่ในห้องไอซียูที่ไม่มีใครแล้ว แล้วเราขอพระเจ้าได้ ทำให้เราย้อนเวลากลับมาอยู่ในช่วงเวลานี้ที่เราได้กอดลูกบ่อยๆ เพราะฉะนั้นเราคิดว่ามันเป็นโอกาสที่สองในชีวิตอยู่ตลอดเวลาในการอยู่กับคนรอบๆ ข้าง และนี่อาจจะเป็นความกลัวที่แท้จริง กลัวการไปคนเดียว
ทำหนังที่เกี่ยวกับปีศาจข้างใน แล้วคุณล่ะ มีปีศาจในใจไหม
เราว่าเราเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เป็นคนอาฆาตด้วยนะ แต่มันออกมาในงาน ซึ่งตอนนี้แย่มากเพราะว่าความอาฆาตมันน้อยลงมากๆ เพราะมันแก่มันเลยมีแต่ความเข้าใจ ไม่ค่อยเดือดดาลแล้ว มันเลยจะแต่งเรื่องได้ไม่เท่าตอนก่อนหน้านี้ ซึ่งเราชอบอารมณ์การที่ยังโตไม่เต็มที่ในสมัยก่อนนะ มันเขียนเรื่องได้เยอะมากรวมเป็นเล่มๆ เลย เพราะเราอยากวิพากษ์วิจารณ์ไอ้นั่นไอ้นี่ แต่ตอนนี้บัวเราบานละ เกือบจะบวชอยู่แล้วเนี่ย (หัวเราะ)
หนังว่าด้วยการกำจัดอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่พวกเรา โดยมีสัญลักษณ์เป็นป่าฮาลาบาลา คุณคิดว่าคนดูจะเข้าใจในสิ่งนี้มากน้อยแค่ไหน
สเต็ปแรกคือ เราทำมันเหมือนเป็นรถไฟเหาะตีลังกา ไม่เก็ตก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าขุดไปเจอแล้วมันจะขุดไปเจออีกเต็มไปหมด แล้วจะพบว่าใต้น้ำเราฝังความคิด ฝังสมบัติเอาไว้เต็มเลย จริงๆ พอพูดเรื่องการกำจัด การอยู่ร่วมกันไม่ได้ มันมีตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เลย เช่นแมลงสาบ เรื่องอะไรที่เราจะต้องทนดูไม่ได้แล้วต้องไปกระทืบ ฆ่า ทรมานมันอย่างเดียว ทั้งๆ ที่มันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ขณะเดียวกันเราไม่ทำแบบนั้นกับผีเสื้อหรือแมลงปอด้วยนะ ทำไมเราต้องทำกับแมลงสาบ แล้วยังโบ้ยมันว่าคือความสกปรก ซึ่งความสกปรกนั้นอะ มึงทำบ้านสกปรกหรือเปล่าแมลงสาบเลยเข้ามา ตัวมันผิดอะไรวะ
สเต็ปต่อมา มันพูดถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มันคือการไม่ให้คุณค่ากันเลย มันคือมีกูก็ไม่มีมึง มันอยู่ร่วมกันไม่ได้ มันคล้ายๆ กับการยุบพรรค การไล่ล่าบี้กัน นี่คือ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ มันคือความคิดของปีศาจที่ควบคุมเราอยู่ ทั้งๆ ที่มันไม่ต้องทำกันขนาดนั้นก็ได้ ซึ่งพอหนังมันออกไปแล้วมีคนพูดถึง เราก็รู้สึกว่า หนังมันได้ทำงานแล้วล่ะ
ถ้าอิงจากเส้นทางในอาชีพ คุณเป็นทั้งนักเขียนการ์ตูน นักเขียนบท สำหรับ ‘ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด’ นับเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของคุณในฐานะผู้กำกับ คุณคิดว่าเรามาช้าเกินไปไหม
นี่ขนาดว่ามาช้าแล้วก็ยังเร็วอยู่นะ คือถ้ามาก่อนหน้านี้เราว่าโดนด่าเละกว่านี้แน่ ที่กล้าขยับออกมาเพราะตอนนี้มีช่องสตรีมมิงหนังมากมาย เรารู้สึกว่าคนเริ่มดูหนังยากขึ้น เริ่มดูหนังทางเลือกมากขึ้น เขาคงจะพร้อมแล้วและเราก็คงถึงเวลาแล้ว ซึ่งเอาจริงๆ ก็ยอมรับว่ามีคนดูแล้วชอบและไม่อยากดูต่อก็เยอะอยู่เหมือนกัน
ทำไมการเป็นผู้กำกับหนังจึงเหมือนกับการต้องฝึกสภาพจิตใจให้พร้อมไปด้วย
โอ้โห เคยคุยเล่นๆ กับพี่ๆ หลายคนว่า เราทำกรรมอะไรวะกับการเป็นผู้กำกับหนังไทย มันคือการเอาความฝันลงมาให้คนย่ำยี เอาลูกโยนไปในกองให้เขาฉีกลูกเรากินแล้วให้เขาด่าเรา แต่เราคิดว่าที่นี่มันเป็นพื้นที่ที่หลายคนอยากเข้ามา หลายคนอยากเป็นผู้กำกับ แต่ว่ากันตรงๆ โอกาสมันมาไม่ถึงทุกคน มันมีเฉพาะแค่บางคน แล้วพอเราได้โอกาสนั้น ก็จะมีคนจับจ้อง มึงทำให้ดีสิ พอทำแย่ อีเหี้ย มึงได้โอกาสทั้งทีแต่มึงทำแบบนี้เหรอ มึงเอาโอกาสนั้นไปย่ำยีได้ยังไง คือด้านหนึ่งพื้นที่มันน้อยแหละ
ส่วนอีกด้านหนึ่งหนังโรงมันทำหน้าที่กับความรู้สึกของคนดูสูงมาก เราเสียเงินเพื่อซื้อความรู้สึก เพราะมันโอบล้อมเรา พอเราจ่ายเงินแล้วความรู้สึกมันไม่ถึงหรือมันไม่ได้ เราก็จะโกรธมาก แต่ถ้ามันถึงเขาก็จะดีใจมาก ชอบมาก เพราะฉะนั้นพื้นที่ของผู้กำกับหนังไทยต้องเข้าใจจุดนี้ด้วย แล้วก็ต้องไปให้ถึงในมุมที่เรากำลังจะคุยกับเขา
หลังจากนี้ ‘เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์’ จะเป็นอย่างไรต่อไป
คิดว่าสนุกดี แล้วก็อยากจะทำอะไรต่อไปอีก ในมุมหนึ่งคิดว่าเราก็จะเยียวยาทั้งสองฝ่าย ทั้งคนที่ชอบเราและคนที่ไม่ชอบเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ เรามีโอกาสแล้ว เราก็อยากจะทำหนังเรื่องอื่นๆ ต่อไปอีก แล้วก็เอาทุกคอมเมนต์ที่สร้างสรรค์มารวมรวบ แล้วก็ปรับปรุงต่อไปอีก
ก็คือเราจะยังเป็นทางเลือกตลอดไป?
ใช่ จริงๆ ก็คิดว่ามันไม่ควรจะมีทางใดทางหนึ่ง มันมีทางเลือกเยอะแยะ มีความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ถ้าเราเดินออกมาจากซอยแล้วมันมีแต่ก๋วยเตี๋ยวทั้งซอยเราก็เอียนเหมือนกันนะ เราขอทำตัวเป็นร้านทางเลือกแบบนั้นตลอดไปดีกว่า