Super Mario Bros. (1993) อดีตอันเลวร้าย ที่ภายหลังกลับสร้างแฟนเดนตายทั่วโลก ของหนังที่สร้างจากเกมชื่อดังระดับคลาสสิก

4 Min
435 Views
13 Apr 2023

คาดว่าหลายคนน่าจะได้รับชมแอนิเมชั่น 3-D เรื่อง ‘The Super Mario Bros. Movie’ กันทะลุตาทะลุจอไปแล้ว แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า สำหรับพี่น้องนักซ่อมท่อที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมอย่างวิดีโอเกมนั้น ก่อนหน้านี้เคยมีเวอร์ชั่นภาพยนตร์คนแสดงมาแล้ว และมันแทบจะกลายเป็นฝันร้ายสำหรับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจนอยากจะ delete ออกไปจากความทรงจำเสียด้วยซ้ำ

เรามาย้อนช่วงเวลาแห่งความอัปยศนี้ที่มีวาระครบรอบ 30 ปี กับหนังเรื่อง ‘Super Mario Bros.’ กัน

หากใครอยู่ในยุค 90s ที่วิดีโอเกมยังอยู่ในขั้นพัฒนา และความละเอียดของภาพและเสียงยังอยู่ในรูปแบบ 8 Bit, 16 Bit เท่านั้น แต่ถึงตัวละครในเกมยังเป็นเหลี่ยมๆ ไม่ค่อยน่าดู แต่พี่น้องช่างประปาตะลุยโหม่งอิฐ กลับเป็นโปรเจกต์หนังที่หลายคนตั้งตารอ

จะไม่ให้ตั้งตารอได้อย่างไร เพราะ Mario ถือเป็นวัฒนธรรมนำเข้าที่ข้ามน้ำข้ามทะเลจากญี่ปุ่นมาดังไกลถึงอเมริกา ยิ่ง Super Mario Bros. 3 ยิ่งกลายเป็นเกมยอดฮิตที่มีแทบทุกบ้านในยุคนั้น มันจึงเป็นที่ต้องการของฮอลลีวูดที่อยากแปรรูปทรัพย์สินมูลค่าหลายร้อยล้านในยุคนั้นให้กลายเป็นหนังให้จงได้

มีผู้กำกับและสตูดิโอหลายเจ้าที่ยื่นความจำนงในการทำหนังเรื่องนี้ โดยที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดก็น่าจะเป็น ฮาร์โรลด์ รามิส (Harold Ramis) ที่เกือบจะได้ทำโดยแคสต์นักแสดงเอาไว้ที่ แดนนี เดวิโต (Danny DeVito) และ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน (Dustin Hoffman) ขอบคุณพระเจ้าที่เขาตัดสินใจโบกมือลาหนังเรื่องนี้เพื่อไปทำ ‘Groundhog Day’ หนังตลกคลาสสิกเรื่องนั้นแทน

และสุดท้ายที่ผ่านด่านได้ทำ กลับเป็นผู้กำกับสามีภรรยาโนเนมจากประเทศอังกฤษอย่าง ร็อกกี มอร์ตัน (Rocky Morton) และ แอนนาเบล แจนเกล (Annabel Jankel) ไปซะอย่างนั้น โดยทั้งสองนำไอเดียแรกที่เล่าเรื่องก่อนที่จะมาเป็นตำนานสองพี่น้องจากวิดีโอเกมให้กับทางผู้บริหาร Nintendo ฟัง รวมไปถึงการต่อสู้ของช่างประปากับมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนไดโนเสาร์ก็เป็นไอเดียที่เข้าท่า “ผมจำได้ว่าพูดกับแอนนาเบลว่า ‘นี่แหละ ที่จะเป็น Batman ของเรา’ ” มอร์ตัน เล่า ทุกอย่างเหมือนจะดี แต่มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งหายนะหลังจากนั้น

แต่พอทั้งสองเอาบทหนังที่เขียนแล้วเสร็จให้ทางผู้บริหาร Nintendo กลับได้รับการแก้ไขและแปลใหม่จนหมด แถมมันถูกแปลงสารจากอังกฤษ เป็น ญี่ปุ่น และ ญี่ปุ่น กลับมาเป็น อังกฤษ ได้แบบกระท่อนกระแท่นในยุคที่โลกยังไม่ไร้พรมแดนดังเช่นทุกวันนี้ จากหนังผจญภัยสนุกๆ ถูกลดทอนด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่จะต้องทำให้มันเป็นหนังที่เด็กดูได้และเป็นมิตรต่อครอบครัว และดิสนีย์ก็มาร่วมทุนโดยกดให้มันเป็นหนังสำหรับเด็กยิ่งกว่าเดิม

จากทีมนักแสดงที่ซื้อในไอเดียแรก เมื่อเขาต้องมาแสดงในเวอร์ชั่นที่อ่อนทั้งเหตุผลและความสนุก ไม่ว่าจะเป็น 2 พี่น้อง บ็อบ ฮอสกินส์ (Bob Hoskins) และ จอห์น ลีกุยซาโม (John Leguizamo) ที่รับบทเป็น มาริโอ และ หลุยส์ ตามลำดับ ไปจนถึง เดนนิส ฮอปเปอร์ (Dennis Hopper) ที่มารับบทวายร้าย ต่างก็ส่ายหัวที่จำต้องมาเล่นหนังที่ไม่ต่างกับการแสดงละครเวทีของเด็กอนุบาล

ซ้ำร้ายด้วยเวลาที่จำกัด ทั้งสองต้องทำงานแข่งกับเวลา จำต้องถ่ายบางซีนที่ยังสร้างฉากไม่เสร็จ แจนเกลจำสถานการณ์นี้ได้อย่างเจ็บปวด:

“มันยากมาก ในแต่ละวันเราต้องหาข้อแก้ตัวว่าทำไมนักแสดงต้องมายืนตรงนี้แทนที่จะไปยืนตรงนั้น เพราะฉากยังสร้างไม่เสร็จหรือกำลังก่อสร้างอยู่” ในขณะเดียวกัน นักแสดงของพวกเขาก็หมดศรัทธากลางกองถ่าย “พวกเขาเกลียดมัน” มอร์ตัน ยอมรับ “แอนนาเบลกับผมต้องแสร้งทำเป็นว่าเรารักบทใหม่เพราะในฐานะผู้กำกับ เราไม่สามารถพูดได้ว่าเราเห็นด้วยกับพวกเขา พวกเขาลงเอยด้วยการไม่พอใจเรา”

ข้ามมาที่ฟากนักแสดงกันบ้าง ในการให้สัมภาษณ์ในปี 2007 บ็อบ ฮอสกินส์ ที่รับบทเป็นมาริโอได้ค่อนข้างจะใกล้เคียงต้นฉบับ กลับกล่าวว่ามันคือความเลวร้ายในชีวิตการแสดง “แม่งคือสิ่งที่แย่ที่สุดที่เคยทำมา Super Mario Bros. มันเป็นฝันร้ายจริงๆ ประสบการณ์ทั้งหมดคือฝันร้ายเชี่ยๆ” ฮอสกินส์เผยว่า เขาและลีกุยซาโม จะเมาก่อนเข้าฉากถ่ายทำในแต่ละวันและจะดื่มต่อไประหว่างเทค ในการสัมภาษณ์ปี 2011 เขาถูกถามว่า “งานที่แย่ที่สุดที่คุณเคยทำคืออะไร” “อะไรที่คุณผิดหวังที่สุด” และ “ถ้าคุณแก้ไขอดีตได้ คุณจะเปลี่ยนแปลงอะไร” คำตอบของเขาทั้งสามคือ ‘Super Mario Bros.’

ส่วนฮอปเปอร์ที่รับบทเป็นตัวร้าย ก็รู้สึกปวดตับที่มีชื่อในเครดิตหนัง “มันเป็นฝันร้าย พูดตรงๆ เลยนะ หนังเรื่องนี้เป็นทีมผู้กำกับผัวเมียที่ทั้งบ้าบิ่นและไม่ยอมมาปรึกษากันก่อน พวกเขาตัดสินใจทำมันอย่างไร้สติ”

ในกองถ่ายยังนรกขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงเลยว่าเมื่อหนังออกฉายมันจะกลายเป็นหายนะขนาดไหน Super Mario Bros. กลายเป็นความพินาศในทุกองคาพยพของวงการ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ หรือคำวิจารณ์ ทีมงานทุกคนสาปส่ง แม้แต่ผู้กำกับเองก็เผยว่า

“มันคือการทำลายวิชาชีพที่ปวดร้าวที่สุด”

แต่เมื่อเวลาผ่านไป น่าแปลกใจที่หนังค่อยๆ เก็บเกี่ยวความรักความชอบในหมู่เด็กๆ ที่พ่อแม่เลือกหยิบมันมาฉายกล่อมในตอนเยาว์วัย กลับกลายเป็นหนังที่ในทุกๆ ปี จะมีการจัดปาร์ตี้แต่งชุดมาริโอมาดูหนังเรื่องนี้กัน แม้กระทั่งนักแสดงที่ได้รับประสบการณ์เลวร้ายก็มาสารภาพในตอนหลังว่า

“แม้พวกเขาจะเกลียดหนังเรื่องนี้ก็ตาม แต่ลูกๆ ของพวกเขารักหนังเรื่องนี้มากๆ”

แม้ความพังพินาศบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศจะทำให้หนังไม่ได้ไปต่อ แต่ท้ายที่สุดเรื่องราวของหนังภาคต่อก็ถูกสานต่อเป็น comic ออกขายในปี 2013 ฉลองวาระครบ 20 ปี

ท้ายที่สุด แม้ว่าหนังจะพังพินาศขนาดไหน แต่ยังมีคนที่รักในความทะเยอทะยานและการต่อสู้จนกลายเป็นหนังที่โคตรคัลต์ในสายตาใครต่อใคร “ฉันรู้สึกดีมากกับมัน’ แจนเกลยิ้ม “หลังจากผ่านพ้นความทุกข์ยากมาหลายทศวรรษ ฉันรู้สึกดีใจที่หนังเรื่องนี้มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ มันน่าประหลาดใจและมีชีวิตชีวา และได้ปิดฉากละครที่รุมเร้าอาชีพของเราตั้งแต่ทำมันมา”

มอร์ตันมีความคิดที่คล้ายกัน

“ทุกคนที่ผมได้พบ จะพบว่าตอนเด็กๆ พวกเขารักมันมาก เป็นหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของพวกเขา เช่นกันเมื่อผมอายุมากขึ้น ผมได้ปล่อยวางความรู้สึกที่มีต่อมัน ผมพบว่ามันค่อนข้างตลกและน่าขันที่มันถูกชื่นชมในตอนนี้ ไม่ใช่แค่ความยุ่งเหยิงที่เป็นอยู่ แต่เพราะในความยุ่งเหยิงนั้นมันได้ซุกซ่อนเพชรเม็ดงามเอาไว้ และเด็กๆ พวกนั้นได้เห็นประกายเพชรเม็ดนั้นโดยที่พวกเราไม่รู้ตัว”