2 Min

นักซูโม่ต้องกินมากกว่าคนทั่วไป 10 เท่า! รู้จัก ‘จังโกะนาเบะ’ แหล่งพลังงานชั้นดีของซูโม่

2 Min
1788 Views
13 Jan 2022

หากพูดถึงกีฬาประจำชาติไทยหลายคนอาจนึกถึงมวยไทยในประเทศญี่ปุ่นก็คงเป็นซูโม่ด้วยความโดดเด่นในหลายเรื่อง ถ้ามองโดยรวมแล้วให้พูดลักษณะเด่นของซูโม่ต้องเป็นเรื่องของ ทรงผม ผ้าชิ้นเดียว และร่างกายของผู้เล่น

แน่นอนว่าการจะเป็นนักกีฬาได้ต้องมีใจรักในสิ่งที่ทำ มีระเบียบวินัยในทุกเรื่องเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ตารางการฝึกซ้อม การพักผ่อนรวมไปถึงเรื่องอาหารการกิน ซึ่งซูโม่เองต้องเคร่งครัดเรื่องการกินเป็นอย่างมาก จนถือว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญที่ซูโม่ต้องทำทุกวัน เพื่อสร้างกำลังมหาศาลในการต่อสู้กับฝั่งตรงข้าม

จังโกะนาเบะ (Chanko nabe)’ หรือหม้อไฟของซูโม่ ถือเป็นอาหารมื้อสำคัญของซูโม่ หากมองภายนอกก็คงเหมือนหม้อไฟทั่วไปที่หลากคนเคยทาน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือวิธีการกินแบบซูโม่นั่นเอง

โดยปกติแล้วคนทั่วไปอาจกินหม้อไฟกับเพื่อนหลายคน บางคนอาจสั่งข้าวมากินด้วย 1-2 จาน แต่นักกีฬาซูโม่ต้องกินข้าวกับจังโกะนาเบะประมาณ 10 จาน! และอาจตบท้ายด้วยเส้นอุด้ง เพื่อให้ได้พลังงาน 20,000 แคลอรีต่อวัน (คนทั่วไปกินประมาณ 2,500 แคลอรีต่อวัน) ซึ่งนักซูโม่จะไม่กินข้าวเช้าและต้องฝึกซ้อมอย่างหนักในตอนเช้า เพื่อให้หิวมากๆ จากนั่นจึงมากินในตอนเที่ยงและนอนทันทีหลังจากอิ่ม เพื่อลดการเผาผลาญพลังงานนั่นเอง

สิ่งที่อยู่ในจังโกะนาเบะนั่นไม่ตายตัว บางหม้อจะเต็มไปด้วยผักและโปรตีนหลากหลายชนิด เช่น ไก่ ปลา เต้าหู้ หัวหอมเวลส์ กะหล่ำปลีจีน ปรุงในน้ำซุปปรุงรส นิยมกินกับหมู่เพื่อนหรือครอบครัว นอกจากจะสร้างพลังงานแล้วยังช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายอีกด้วย

จากโค้ชสู่ลูกศิษย์

ร้านจังโกะนาเบะแห่งแรกของญี่ปุ่นกำเนิดขึ้นในปี 1937 โดยนักซูโม่ที่เกษียณแล้วในเขตเรียวโงกุ  (Ryogoku) ของโตเกียวได้ทำอาหารอยู่ในเฮยะ (โรงเรียนฝึกฝนซูโม่) เมื่อนักมวยปล้ำซูโม่เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการซ้อมที่ยาวนาน หมดแรงไปกับการต่อสู้ ทั้งคู่จึงต้องการอาหารมื้อใหญ่ที่รวมทั้งมื้อเช้าและกลางวันไว้ด้วยกัน จึงเกิดเป็นหม้อไฟจังโกะที่ทำง่าย ใส่ทุกอย่างลงในหม้อ สามารถกินได้หลายคน แถมยังให้พลังมากมายและย่อยง่าย ซึ่งคำว่าจังเป็นคำสแลงในเขตชนชั้นแรงงานของโตเกียวหมายถึงพ่อนั่นเอง

แม้จังโกะนาเบะจะเป็นอาหารมื้อสำคัญของซูโม่ แต่ในปัจจุบันคนทั่วไปก็สามารถกินได้เช่นกัน และมีความหลากหลายของเนื้อสัตว์และวัตถุดิบ กระจายทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่หากอยากกินจังโกะนาเบะที่ดีที่สุดต้องไปในโคคุงิคัง (Kokugikan) ย่านเรียวโงกุของโตเกียวที่เป็นต้นกำเนิด

อย่างไรก็ตามเรื่องราวชีวิตนักซูโม่ไม่ได้ง่ายเลย ต้องอาศัยวินัยการฝึกซ้อมและการกินอย่างหนัก แม้ในอดีตกีฬาซูโม่จะเป็นที่นิยมมากในญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบันความนิยมของกีฬาชนิดนี้ก็เริ่มน้อยลง ด้วยวิธีการฝึกซ้อม การใช้ชีวิตภายใต้ระเบียบวินัยที่เคร่งครัด ทำให้นักซูโม่ลำดับสูงๆ เป็นชาวต่างชาติส่วนใหญ่ แต่ภาพจำของกีฬาซูโม่ก็ยังคงเป็นญี่ปุ่นเช่นเดิม

อ้างอิง