จากเสียงปืนในวันนั้นสู่ปัจจุบันในวันนี้ 32 ปี การจากไปของ ‘สืบ นาคะเสถียร’ กับแง่มุมชีวิตที่คุณอาจไม่เคยรู้

6 Min
1180 Views
05 Sep 2022

1 กันยายน ปีนี้ ครบรอบ 32 ปี การจากไปของสืบ นาคะเสถียรอดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ผู้ชายธรรมดาที่ปลุกให้ประเทศไทยหันมาให้ความสนใจงานอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าด้วยกระสุนหนึ่งนัด

แม้จะผ่านมานานนับ 3 ทศวรรษ แต่เชื่อว่าชื่อของชายคนนี้ก็ยังเป็นที่จดจำของคนจำนวนมาก รวมถึงเป็นขวัญกำลังใจให้กับคนรักษ์ป่าอีกไม่น้อย

ในวาระ 32 ปี การจากไปของ สืบ นาคะเสถียร เราอยากย้อนรำลึกเรื่องราวของนักอนุรักษ์ผู้นี้กันอีกครั้ง ถึงตัวตนในช่วงเวลาต่างๆ กับ 32 เรื่องราวที่อธิบายถึงแง่มุมต่างๆของชายที่ชื่อสืบนาคะเสถียร

  1. วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2492 เป็นวันที่ เด็กชายสืบยศ นาคะเสถียร ลืมตาขึ้นบนโลก และเป็นลูกชายคนโตของอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเขาไม่เคยคุยโวว่าพ่อเขาเป็นใคร หรือใช้ตำแหน่งของพ่อเพื่อประโยชน์ส่วนตน
  2. วัยเด็กเขาเคยใช้หนังสติ๊กยิงแม่นกตาย ก่อนมาพบว่าแม่นกตัวนั้นมีรังและมีลูกน้อยคอยอยู่ นับแต่นั้นมา เขาก็ไม่เคยยิงนกอีกเลย
  3. เมื่อเรียนจบชั้นประถม 4 สืบได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนเซนต์หลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นั่นสืบได้เป็นนักเป่าทรัมเป็ตมือหนึ่ง และนักวาดภาพฝีมือดีของโรงเรียน
  4. ฝีมือวาดภาพของสืบนั้นเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ จนถูกตั้งสมญาว่าต่วย’ (มาจากหนังสือ ต่วยตูน) เมื่อครั้งศึกษาอยู่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  5. จริงๆ แล้ว สืบไม่ได้เลือกเรียนวนศาสตร์เป็นคณะแรก เขาอยากเรียนสถาปัตย์ แต่โชคไม่ดีที่สอบไม่ติด จึงยอมเข้าคณะวนศาสตร์ (รุ่นที่ 35) เพราะไม่อยากเสียเวลา และต้องขอเงินพ่อแม่ใช้เพิ่มอีกปี
  6. ตอนเป็นนิสิต สืบเล่นกีฬาหลายอย่าง เช่น โปโลน้ำ และฟุตบอล ความเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้สืบเป็นนักกีฬาที่จัดได้ว่ามีฝีมือดีทีเดียว นพรัตน์ นาคสถิตย์ เพื่อนสนิทของสืบเล่าว่า เวลาเล่นฟุตบอลเป็นเรื่องยากมากที่จะพาบอลผ่านกองหลังได้อย่างสืบ สืบจะทุ่มเทสกัดเต็มที่ แต่ก็จะเล่นอยู่ในกติกาเสมอ
  7. ในวันเรียนจบคณะวนศาสตร์ สืบตัดสินใจไม่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เพราะคิดว่าตัวเองยังมีความรู้ไม่เพียงพอที่จะรับปริญญา
  8. เมื่อเรียนจบ สืบว่างงานอยู่ 2 ปี เพราะกรมป่าไม้ไม่มีตำแหน่งว่าง จึงไปสมัครงานที่การเคหะแห่งชาติ ประจำฝ่ายสวนสาธารณะ มีหน้าที่ปลูกต้นไม้ตามหมู่บ้านจัดสรร แต่พอทราบว่างานที่ทำแทนที่ราชการจะได้รับประโยชน์ กลับกลายเป็นเอื้อประโยชน์ให้เอกชน สืบจึงไม่พอใจและตัดสินใจลาออกทันที
  9. สืบกลับมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านวนวัฒน์วิทยา คณะวนศาสตร์ ระหว่างที่เรียนเขาสามารถสอบเข้ากรมป่าไม้ได้เป็นอันดับ 3 ซึ่งในเวลานั้นคนที่สอบได้อันดับ 1-10 มีสิทธิ์เลือกบรรจุกองไหนก็ได้ ส่วนมากมักจะเลือกเป็นป่าไม้ เพื่อมีโอกาสจะก้าวไปเป็นป่าไม้จังหวัด หรือป่าไม้เขตในอนาคต แต่สืบกลับเลือกอยู่กองอนุรักษ์สัตว์ป่า ซึ่งทั้งรุ่นมีเพียงแค่สืบกับเพื่อนรวม 5 คนเท่านั้นที่เลือกทำงานกองอนุรักษ์สัตว์ป่า
  10. งานแรกของสืบคือการประจำอยู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียวเขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ณ ที่นั้น สืบได้ทราบว่ามีผู้ทรงอิทธิพลบุกรุกทำลายป่าเป็นจำนวนมาก เขาเริ่มลงมือทำงานปราบปรามอย่างแข็งขัน เป็นที่เลื่องลือกันว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไม่เคยมีใครได้ยินคำผรุสวาท หรือดูถูกจากเจ้าหน้าที่คนนี้เลย
  11. ครั้งหนึ่ง สืบขึ้นไปจับคนลักลอบเผาถ่านขาย เมื่อพบว่าเป็นครอบครัวคนยากจนที่หามื้อกินมื้อ สืบบอกกับผู้บังคับบัญชาว่ากลับเถอะพี่ เห็นใจเขาภายหลังสืบได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Image ว่าผมเห็นใจคนที่ไม่มีโอกาสในสังคม ถูกบีบคั้นถูกเอาเปรียบทุกอย่าง ประเทศไทยจะดีขึ้น ถ้าคนที่มีโอกาสยอมสละโอกาสบ้าง
  12. ปี 2522 สืบได้รับทุนจาก British Council ไปเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในสาขาอนุรักษวิทยา และกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ และเริ่มงานวิจัยชิ้นแรก คือ การศึกษาการทำรังวางไข่ของนกบางชนิด ที่อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี สืบให้เหตุผลว่าผมหันมาสนใจงานวิจัยมากกว่าที่จะวิ่งไปจับคน เพราะรู้ว่าจับได้แต่คนตัวเล็กๆ ตัวใหญ่ๆ จับไม่ได้ ก็เลยอึดอัดว่ากฎหมายบ้านเมืองนั้นมันใช้ไม่ได้กับทุกคน มันเหมือนกับว่าเราไม่ยุติธรรม เรารังแกชาวบ้าน
  13. ปี 2528 สืบเดินทางไปทำวิจัยเรื่องกวางผา กับ ดร.แซนโดร โรวาลี ที่ดอยม่อนจอง ในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างติดตาม จนเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเสียชีวิต สร้างความสะเทือนใจให้แก่ สืบ นาคะเสถียร เป็นอย่างมาก
  14. ปี 2529 สืบได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าจากการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลานจังหวัดสุราษฎร์ธานีก่อนหน้านี้ไม่เคยมีโครงการอพยพสัตว์ป่าขึ้นมาก่อนในประเทศไทยไม่มีต้นแบบหรือโมเดลให้เอาอย่างสืบจึงต้องไปเสาะหาข้อมูลจากการชมสารคดีการจับสัตว์ป่าจากต่างประเทศแทน
  15. ภาพจำหนึ่งถึงสืบ จากเหตุการณ์อพยพสัตว์ป่า คือ ตอนที่ สืบ นาคะเสถียร พยายามปั๊มหัวใจกวาง ปรากฏอยู่ในสารคดีส่องโลกของ โจ๋ย บางจาก ในเหตุการณ์นั้น ตวงรัตน์ โพธิ์เที่ยง หนึ่งในทีมงานอพยพสัตว์ป่า เล่าว่าพี่สืบเครียดมาก ทุกคนก็เครียด นั่งนิ่งกันไม่รู้จะทำยังไง เราอยากช่วยแต่มันมาตายด้วยมือเรา คือปกติพี่สืบแกเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ยิ่งแกเครียดแกจะไม่พูดอะไรเลย เงียบอยู่คนเดียว เราก็ทำดีที่สุดแล้ว ตั้งใจที่จะช่วยเหลือมัน แต่ก็เสียใจจริงๆ
  16. วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี เล่าว่า สืบเพิ่งหัดจับงูพิษเป็นครั้งแรกในชีวิต เพียงเพราะต้องการจะช่วยงูจงอางที่กำลังว่ายน้ำอยู่ เพราะสืบรู้ดีว่าหากปล่อยให้งูยังคงว่ายน้ำต่อไป งูตัวนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน
  17. สืบเขียนรายงานสรุปผลการช่วยเหลือสัตว์ป่าว่าผลกระทบจากการสร้างเขื่อน เป็นกระบวนการทำลายแหล่งพันธุกรรมตลอดจนแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์ป่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจของผืนป่าทั้งหมดที่มนุษย์มิอาจสร้างขึ้นมาได้
  18. หลังจากจบภารกิจอพยพสัตว์ป่า สืบเข้าร่วมคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนน้ำโจนในผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวร นาทีนั้น ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าสืบ ว่าหากมีการก่อสร้างเขื่อนในป่าที่มีสัตว์ป่าจำนวนมากอย่างป่าทุ่งใหญ่ฯ จะมีสัตว์ตายไปมากเท่าไร จนในที่สุด ข้อมูลของสืบและฝ่ายอนุรักษ์ก็ทำให้รัฐบาลมีมติชะลอการก่อสร้างเขื่อนออกไป และบทเรียนการคัดค้านของสืบในครั้งนั้นก็เป็นแม่แบบของนักอนุรักษ์ในรุ่นต่อมา ทำให้ไม่มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในป่าอนุรักษ์อีกเลย
  19. ปี 2531 สืบและเพื่อนนักอนุรักษ์ออกโรงคัดค้านการที่บริษัทไม้อัดไทยจะขอสัมปทานทำไม้ ที่ป่าห้วยขาแข้ง สืบได้อภิปรายว่าคนที่อยากอนุญาตให้ทำไม้ก็เป็นกรมป่าไม้ คนที่จะรักษาก็เป็นกรมป่าไม้เหมือนกัน
  20. คำพูดหนึ่งที่สืบมักพูดอยู่เสมอ เมื่อต้องไปบรรยายเรื่องของป่าไม้และสัตว์ป่าในที่ต่างๆ คือผมขอพูดในนามของสัตว์ป่าทุกตัว เพราะเขาพูดแทนตัวเองไม่ได้
  21. สืบได้รับทุนเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ แต่ตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เขาพบว่าป่าแห่งนี้มีปัญหามากมาย อาทิ ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การล่าสัตว์ของบุคคลที่มีอิทธิพล เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าถูกยิงเสียชีวิต ปัญหาความยากจนของชาวบ้านรอบป่า แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยได้รับความสนใจจากผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเลย
  22. สืบมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเขาเชื่อว่าจะต้องรีบเร่งให้การศึกษาแก่ชาวบ้านรอบๆพื้นที่โดยเฉพาะกับเด็กๆให้เห็นถึงความสำคัญของป่าห้วยขาแข้งสืบจึงให้ความสำคัญกับงานเผยแพร่มากเขาออกไปบรรยายเองตามโรงเรียนชุมชนต่างๆจากเช้าจนมืดพอรุ่งสางก็ขับรถออกไปตามโรงเรียนบรรยายให้เด็กนักเรียนฟังต่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
  23. สืบเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับลูกน้องมาก แต่น่าเสียดายที่หลายต่อหลายครั้ง สืบไม่สามารถปกป้องลูกน้องได้จากพวกลักลอบล่าสัตว์ ตัดไม้ สืบเคยประกาศกร้าวว่าจะไม่มีใครตายในห้วยขาแข้ง ถ้ามีก็ต้องเป็นผมและครั้งหนึ่ง สืบได้ตะโกนก้องใส่พรานที่ทำร้ายลูกน้องว่าถ้ามึงจะยิงลูกน้องกู มึงมายิงกูดีกว่า
  24. สืบมักจะขอเงินที่บ้านเป็นประจำเดือนละ 20,000 บาท ตอนแรกไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมสืบถึงใช้เงินเยอะ ก่อนมาทราบภายหลังว่าเอาไปให้ลูกน้องใช้ก่อน เพราะเป็นช่วงที่งบประมาณข้าราชการตกเบิก
  25. ช่วงเวลาที่ทำงานอยู่ห้วยขาแข้ง สืบมีค่าหัวราว 5,000 บาท เวลาต้องเข้าไปค้างแรมในป่าเขามักไม่บอกใครว่าตัวเองจะนอนตรงไหน บางครั้งก็กางเต็นท์ทิ้งไว้เปล่าๆ แล้วพาตัวเองไปนอนที่อื่น
  26. น้ำฝนชินรัตน์ นาคะเสถียร ลูกสาวคนเดียวของสืบ เล่าว่า แทบทุกครั้งที่พบพ่อ เขาจะอยู่ในชุดทำงานเสมอๆ การพบกันครั้งสุดท้ายของพ่อลูกมีขึ้นในวันที่ 29 สิงหาคม 2533
  27. หม่อม พี่ไปแล้วนะเป็นคำพูดสุดท้ายที่สืบได้เอ่ยกับลูกน้องคนหนึ่งในคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2533
  28. กลางดึกของคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2533 เริ่มลงมือเขียนจดหมายอำลาฉบับแรกผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวตาย โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้นจดหมายบางฉบับลงวันที่ไว้ว่าเขียนเมื่อ 31 สิงหาคม บางฉบับลงวันที่ไว้เป็นวันที่ 1 กันยายน
  29. ปืนที่สืบใช้จบชีวิตตัวเอง เป็นปืนขนาด 11 มม. ที่บิดาของสืบมอบให้ลูกชายไว้ป้องกันตัวเอง
  30. มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ก่อตั้งขึ้นภายในเวลา 18 วันหลังจากสืบนาคะเสถียรเสียชีวิตเหตุที่ใช้เวลาดำเนินการรวดเร็วเพราะข่าวการเสียชีวิตของหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นกระแสของสังคมในเวลานั้นจึงได้รับความร่วมมือจากมิตรสหายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างทันทีทันใด
  31. ในเดือนธันวาคม 2534 การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 15 ณ เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเซีย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ห้วยขาแข้ง เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทย สมดังที่สืบเฝ้าฝัน
  32. ถ้า สืบ นาคะเสถียร ยังมีชีวิต ในวันที่ 1 กันยายน พ.. 2565 ชายผู้นี้จะมีอายุ 73 ปี เพื่อนสนิทหลายคนเชื่อว่า สืบคงลาออกจากกรมป่าไม้ ผันตัวเองมาเป็นอาจารย์สอนตามมหาวิทยาลัย เพราะรับไม่ได้กับการทำงานของกรมในเวลานั้น

ปัจจุบันสถานการณ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าในไทยยังคงน่าเป็นห่วง ยังมีพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย ยังมีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่ถูกลักลอบสังหาร ยังไม่รวมถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ส่งผลเชื่อมโยงกันหมด เรื่องราวเหล่านี้อาจไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือเรื่องราวของพวกเราในฐานะชาวไทย และชาวโลกทุกคน ที่ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ และร่วมสืบสานเจตจำนงของสืบไปด้วยกัน แม้ในวันที่เขาปราศจากลมหายใจ