วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มอง “โรคเต้นไม่หยุด” ที่ทำให้คนจำนวนมาก “เต้นจนตาย” อย่างไร
เวลาเราเห็นคน “เต้นอย่างไม่มีเหตุผล” โดยไม่มีเสียงเพลงหรืออะไร โดยทั่วไปเราก็จะมีคำอธิบายทำนองว่า คนนั้นโดนผีเข้า โดนคำสาป หรือเป็นบ้า
คำอธิบายแบบนี้อาจใช้ได้เวลาคนเป็นแบบนี้คนเดียว แต่ในกรณีที่คนจำนวนมากมีอาการแบบนี้พร้อมๆ กัน อาจต้องการคำอธิบายอีกแบบ
ถ้าเป็นในกรณีของคนจำนวนมากที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง เราก็คงจะเห็นเป็นปกติในพิธีกรรมเหนือธรรมชาติร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นการทรงเจ้าในไทย หรือพิธีกรรมในโบสถ์ทางใต้ของอเมริกา กรณีนี้อาจไม่แปลก และก็คงจะเป็นสิ่งที่มีมายาวนานพอๆ กับอารยธรรมของมนุษย์
แต่ถ้าเป็นภาวะอันลึกลับ ที่อยู่ดีๆ คนลุกมาเต้นกันเป็นสิบคนแบบไม่มีเหตุผล และเต้นไม่หยุดราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ จนเหนื่อยล้มลง แล้วก็ลุกมาเต้นต่อแบบตัวเบี้ยวๆ จนสุดท้ายบางคนถึงแก่ความตาย
ที่เล่ามาข้างต้น ไม่ใช่ฉากในหนังสยองขวัญที่ไหน มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11-17 ในยุโรปแถบเยอรมนี และแพร่หลายระดับที่มีคำเรียกว่า “โรคเต้นไม่หยุด” หรือบางทีก็ขนานนามว่า St. Vitus Dance ตามชื่อนักบุญ Vitus ผู้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเหล่านักเต้นและนักให้ความบันเทิงแก่สังคม
ซึ่งปรากฏการณ์นี้ คนก็จะเล่าว่า อยู่ดีๆ คนก็จะลุกขึ้นมาเต้นแบบไม่มีดนตรีใดๆ และเต้นจนล้ม น้ำลายฟูมปาก และลุกขึ้นมาเต้นต่อพร้อมกันเป็นสิบๆ คน และบางทีคนนึกสนุก ก็มีนักดนตรีมาแจม คนที่ไม่เป็นไรก็เต้นด้วย เต้นกันทั้งเมือง บางทีกระทั่งเต้นกันข้ามเมืองเลย
แน่นอนนี่เป็นเรื่องประหลาดในประวัติศาสตร์และเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ เพราะมันคงเกิดขึ้นจริงแน่ๆ และเกิดขึ้นซ้ำๆ ในหลายพื้นที่
ประเด็นคือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างไร?
ในปี 2009 นิตยสารทางการแพทย์ชื่อดัง The Lancet ก็ลองหาคำอธิบายที่เป็นไปได้ของปรากฏการณ์นี้
ซึ่งทฤษฎีหลักก็คือ มันเกิดจากการที่คนกินแป้งรายล์ที่มีเห็ดราขึ้น โดยเห็ดราชนิดที่ชอบขึ้นบนข้าวรายล์เรียกว่า “เออร์โกต์“
ถ้าจะอธิบายแบบปัจจุบัน เออร์โกต์จะผลิตกรดไลเซอร์จิค ซึ่งกรดนี้คือส่วนผสมหลักของยาหลอนประสาทชื่อดังแห่งยุค 1960’ s อย่าง LSD หรือพูดง่ายๆ ถ้าคนกินเออร์โกต์เข้าไปโดยบังเอิญ ก็จะเมายา ประสาทหลอน แบบเห็นภาพหลอนเลย (ซึ่งนี่ก็เป็น “เครื่องหมายการค้า” ของ LSD อยู่แล้ว) และนี่ก็เลยเป็นคำอธิบายว่าทำไมอยู่ดีๆ คนถึงลุกมาเต้นกันเป็นสิบคนได้ คือคนรับสารหลอนประสาทโดยไม่รู้ตัวไปพร้อมกัน
คำอธิบายนี้ดูจะหนักแน่น เพราะภูมิภาคที่มีรายงานปรากฏการณ์แบบนี้มีแค่แถบ “เยอรมนี” และพื้นที่โดยรอบซึ่งกินข้าวรายล์เป็นอาหารหลักเท่านั้น
และไม่มีรายงานปรากฏการณ์นี้ในอังกฤษเลย ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่อังกฤษกินข้าวสาลีกันเป็นหลัก และไม่กินข้าวรายล์เลย นั่นก็เพราะเออร์โกต์ไม่ขึ้นบนข้าวสาลี คนอังกฤษก็เลยไม่มีการรับเออร์โกต์และกรดไลเซอร์จิคเข้าไป ก็เลยไม่มีการหลอนประสาทแล้วลุกขึ้นมาเต้นไม่หยุดจนตายแบบที่เกิดขึ้นในเยอรมนี
กรณี “โรคเต้นไม่หยุด” เรียกได้ว่าปิดคดีเรื่องลี้ลับในประวัติศาสตร์อีกคดี ภายใต้คำอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ล้วนๆ
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนมีที่มา อยู่ที่ว่าเราจะพยายามค้นหาต้นตอของมันหรือไม่
อ้างอิง
- IFLS. The “Forgotten Plagues” Of Dancing Mania That Rocked Medieval Europe. https://bit.ly/3yeadNV