3 Min

Startup ด้านพันธุกรรมประกาศจะ ‘คืนชีพ’ สัตว์สูญพันธุ์หลายชนิด …หรือเราจะเห็น Jurassic Park อยู่รำไร?

3 Min
508 Views
13 Feb 2023

เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีถูกพัฒนาไปเร็วมากๆ ในระดับที่แทบไม่มีอะไรเกินจินตนาการอีกต่อไป ซึ่งล่าสุดบริษัท Colossal Biosciences ที่เป็นสตาร์ทอัพในสหรัฐอเมริกา ก็ประกาศจะคืนชีพสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วหลายชนิด และได้ระดมทุนเพิ่มมาอีกประมาณ 5,000 ล้านบาท

โดยพันธกิจของบริษัทนี้ก็คือการใช้พัฒนาการด้านเทคโนโลยีพันธุกรรมไปคืนชีพสัตว์ต่างๆ ที่สูญพันธุ์ไปแล้วให้มันกลับไปอยู่ตามธรรมชาติและบรรดาสัตว์ที่อยู่ในเป้าหมายของกระบวนการคืนชีพก็มีตั้งแต่ช้างแมมมอธ เสือแทสมาเนีย และล่าสุดคือนกโดโด้ ซึ่งนกโดโด้นี่แหละคนคาดกันว่าน่าจะเป็นไปได้ที่สุด และอาจเป็นสิ่งที่ควรจะทำแล้วที่จะเอาพวกมันกลับมาบนโลก

ทำไมต้องเป็นนกโดโด้? เพราะมันเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ด้วยน้ำมือมนุษย์จริงๆ

นกโดโด้เป็นนกพื้นถิ่นที่เกาะมอริเชียส ซึ่งเป็นเกาะทางตะวันออกของทวีปแอฟริกาในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งดั้งเดิมพวกคนพื้นเมืองก็ไม่เคยล่ามัน และบนเกาะก็ไม่มีสัตว์อื่นที่กินมันเป็นอาหาร พวกมันก็เลยเป็นนกโง่ๆ เชื่องๆ ซึ่งสุดท้ายถูกทั้งล่าโดยคนขาวในช่วงอาณานิคม และโดยบรรดาสัตว์ต่างถิ่นที่มาพร้อมๆ กับคนขาว

นี่เลยทำให้การที่นกโดโด้สูญพันธุ์ไปในศตวรรษที่ 18 กลายเป็นบทเรียนแรกๆ ในความทรงจำของมนุษย์ว่าการเข้าไปแทรกแซงธรรมชาติหรือที่มนุษย์ไปยุ่งกับระบบนิเวศมีผลทำให้สัตว์สูญพันธ์ุได้จริงๆ

และอีกด้านหนึ่ง นี่ก็เป็นตราบาปของมนุษยชาติเสมอมา โดยเฉพาะคนตะวันตก ซึ่งนี่ทำให้แนวคิดว่าการจะเอานกชนิดนี้กลับมาบนโลกถูกมองเป็นเหมือนการไถ่บาปของการแทรกแซงระบบนิเวศของมนุษย์ด้วย และนี่ก็คือสิ่งที่ทาง Colossal Biosciences พูดไว้เป๊ะๆ

เนื่องจากนกโดโด้เป็นนกที่มีลักษณะโง่ๆ เซื่องๆ ไม่ดุร้าย และดูน่ารักด้วยซ้ำ ก็เลยแทบไม่มีการต่อต้านโครงการที่จะทำให้พวกมันกลับมามีชีวิต ซึ่งต่างจากปฏิกิริยาของผู้คนต่อการพยายามจะคืนชีพพวกสัตว์ใหญ่แบบช้างแมมมอธ หรือสัตว์กินเนื้อแบบเสือแทสมาเนียแน่ๆ

กระบวนการคืนชีพ เอาจริงๆ ก็คล้ายที่เราเห็นในหนัง คือเริ่มจากการถอดรหัสพันธุกรรมให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน ซึ่งตรงนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีตัวอย่างพันธุกรรมที่สมบูรณ์เพียงพอของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ หลังจากนั้นก็ทำการตัดต่อพันธุกรรมที่จำเป็นจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นญาติใกล้เคียงกับมันในปัจจุบัน เพื่อหาทางสร้างตัวอ่อนของพวกมันออกมา และนำมันไปเข้ากระบวนการอุ้มบุญเพื่อให้มันคลอดหรือฟักออกมาเป็นตัวในที่สุด

พูดง่ายๆ คือกระบวนการมันไม่ได้ต่างจากการสร้างไดโนเสาร์ใน Jurassic Pack เท่าไหร่เลย

สำหรับนกโดโด้ การถอดรหัสพันธุกรรมดำเนินไปจนเสร็จแล้ว และจริงๆ ก็สำเร็จมาเกิน 20 ปี แต่ความท้าทายก็คือ การสร้างตัวอ่อนและเอามันเข้าไปอยู่ในไข่ให้สำเร็จ ซึ่งจริงๆ สัตว์ที่จะเอามาเป็นต้นแบบของตัวอ่อนนกโดโด้ก็ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่าคือนกพิราบนิโคบาร์ ซึ่งเป็นญาติใกล้สุดของนกโดโด้

และว่ากันตรงๆ ก็คืออย่าเพิ่งตื่นเต้นไปเพราะตอนนี้ยังสร้างตัวอ่อนไม่สำเร็จ ยังไม่ต้องพูดถึงการเอาตัวอ่อนไปฟักในไข่ นั่นคือยิ่งอีกไกลทั้งนั้น แต่ความน่าตื่นเต้นจริงๆ ณ ตอนนี้ก็คือ นักลงทุนรายใหญ่ๆ ยอมเทเงินกันเป็นหลักพันล้านบาทในโปรเจกต์แบบนี้ ซึ่งแน่นอนคือพวกเขาเชื่อว่ามันทำได้จริง ไม่งั้นก็คงไม่ลงเงินกันขนาดนี้

นี่ก็เลยกลับมาสู่คำถามว่า การคืนชีพนี้มันจะนำไปสู่อะไร? แน่นอน Colossal Biosciences ก็อ้างว่ามันเป็นไปเพื่อการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ แต่ทาง Colossal Biosciences ก็เป็นบริษัทเอกชนที่ปกติต้องทำตามผู้ถือหุ้นซึ่งบริษัทสไตล์ Startup พวกนี้ การเพิ่มหุ้นรวมถึงขายหุ้นจำนวนมากเข้าๆ ออกๆ ก็เป็นปกติ และก็คงไม่แปลกที่สักวันผู้ถือหุ้นใหญ่จะเรียกร้องให้ทางบริษัทคืนชีพไดโนเสาร์และทำอะไรแบบ Jurassic Park ในที่สุด

และก็อย่าคิดว่าเราจะไม่ถึงตรงนั้น เพราะสิ่งที่เราประมาทไม่ได้เลยในปัจจุบันนอกจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีสุดรวดเร็วแล้ว ก็คงจะเป็นความบ้าของมนุษย์นี่แหละ

อ้างอิง