สาย (คอ) แข็งต้องรู้จัก ‘มักกอลลี’! ‘เหล้าชาวนา’ ที่เกือบสูญพันธุ์-คนเกาหลีเมิน ก่อนกลับมาผงาดด้วยแนวคิด ‘ชาตินิยม’
Select Paragraph To Read
- จับคู่ ‘มักกอลลี’ กับอาหาร กระตุ้นบรรยากาศดื่มด่ำ
- เหล้าที่เคยเกือบสูญพันธุ์
- กลับมาผงาดในฐานะซอฟต์พาวเวอร์
ถ้าพูดถึงจุดแข็งทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ หรือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ในยุคนี้ คงไม่ต้องเกริ่นเยอะก็รู้ว่า ‘ทรงพลัง’ และ ‘มีอิทธิพล’ แค่ไหน
นอกจากหนัง–ละคร และดนตรี ก็ยังมี ‘อาหารและเครื่องดื่ม’ ที่ฮิตติดลม โดยเฉพาะ ‘โซจู’ ที่รัฐบาลเกาหลีใต้แทบจะยกเป็นเหล้าประจำชาติ – แต่เหล้าที่สาย (คอ) แข็งต้องจับตามองเป็นอันดับต่อไปก็คือ ‘มักกอลลี’ เหล้าพื้นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อยู่คู่สังคมเกาหลีมาตั้งแต่ยุคโบราณ และเคยเกือบสูญหายไปครั้งหนึ่ง แต่กลับมาผงาดอีกครั้งด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ควรยกเป็น ‘กรณีศึกษา’ ถ้าอยากส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมให้ได้อย่างเกาหลีใต้
อะไรทำให้เกาหลีใต้สามารถรื้อฟื้นเหล้าพื้นเมืองตั้งแต่โบราณที่เกือบจะหายไปตลอดกาล ให้กลับมาสร้างรายได้ในตลาดสุราอีกครั้ง และกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในปัจจุบัน?
จับคู่ ‘มักกอลลี’ กับอาหาร กระตุ้นบรรยากาศดื่มด่ำ
막걸리 (มักกอลลี) เกิดจากคำว่า 막 (มัก) แปลว่า เพิ่งจะ และ 거르다 (กอรือดา) แปลว่า กลั่น, กรอง มักกอลลีจึงหมายถึง สุราที่ดื่มหลังจากกลั่นหรือหมักเสร็จแล้ว นอกจากนี้ยังถูกเรียกขานกันในชื่อ 탁주 (ทักจู) และ 농주 (นงจู) ด้วย มีความหมายว่า ‘เหล้าของชาวนา’ เนื่องจากในอดีต เกษตรกรที่ต้องออกไปทำไร่ทำนาในอากาศหนาวๆ จะรวมกลุ่มกันดื่มเหล้าให้ร่างกายอบอุ่น และเพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้นนั่นเอง
มักกอลลีเป็นสุราสีขุ่น ที่หมักด้วยข้าวหุงสุกและส่าเหล้า ประมาณ 1 สัปดาห์ เป็นเหล้าที่ทำง่าย สามารถทำดื่มและขายได้เองที่บ้าน แต่ละครัวเรือนก็จะรังสรรค์สูตรมักกอลลีที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง ทำให้มักกอลลีจากแต่ละที่มีรสชาติแตกต่างกัน
นอกจากนี้ยังนิยมดื่มคู่กับแกล้มอย่าง 전 (จอน) อาหารเกาหลีที่นำผักมาทอดกับแป้ง และยิ่งเป็นช่วงหน้าหนาว หรือวันที่อากาศเย็นเพราะมีฝนตก บรรยากาศในวงเหล้า เคล้าด้วยเสียงพูดคุยกับเพื่อนฝูงจะยิ่งทำให้มักกอลลีมีรสชาติอร่อยมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เองวัฒนธรรมเกาหลีจึงผูกโยงกับการดื่มสุราอย่างแยกขาดกันไม่ได้
เหล้าที่เคยเกือบสูญพันธุ์
ชะตากรรมของมักกอลลีเคยสั่นคลอนถึงขั้นเกือบสูญหายเมื่อกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และยึดดินแดนบริเวณคาบสมุทรเกาหลีเป็นอาณานิคม ทั้งยังออกกฎหมายห้ามไม่ให้ครัวเรือนเกาหลีหมัก–ผลิต–และขายเหล้าพื้นเมือง รวมถึงคิดภาษีนายทุนที่อนุญาตให้ผลิตได้ในอัตราที่สูงมาก เหล้าพื้นเมืองจึงค่อยๆ หายไป
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงสงครามเกาหลีเหนือ–ใต้ก็ทำให้ประเทศประสบกับพิษเศรษฐกิจและสภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ทำให้ ‘ข้าว’ ที่เป็นวัตถุดิบหลักของมักกอลลีก็ยิ่งขาดแคลน สูตรมักกอลลีจากแต่ละมุมเมืองจึงค่อยๆ สูญหายไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากประเทศเกาหลีใต้สามารถฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจจนหลุดพ้นจากการเป็นประเทศยากจน ตลาดสุราก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะธรรมชาติของคนเกาหลีเป็น ‘นักดื่ม’ ตัวยงอยู่แล้ว
ก่อนถึงยุค 2000 การดื่มมักกอลลีเพื่อการสังสรรค์ไม่ได้รับความนิยมเท่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ เช่น โซจูและเบียร์ โดยเหตุผลหนึ่งที่อ้างอิงในบทความของสำนักข่าวเกาหลีใต้ The Korea Times ระบุว่า ความทรงจำของคนเกาหลีที่มีต่อมักกอลลี คือ ‘เหล้าราคาถูกที่นิยมหมักกันในครัวเรือน และดื่มกันในหมู่ชาวนา’ ซึ่งดู ‘ไม่เท่’ สำหรับการดื่มเข้าสังคม
การดื่มแอลกอฮอล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความทันสมัย โก้หรู จึงถูกเชื่อมโยงกับเบียร์ โซจู รวมถึงไวน์ที่เป็นเครื่องดื่มนำเข้า แต่ไม่มีมักกอลลีรวมอยู่ด้วย คนเกาหลีจึงมักดื่มมักกอลลีในหมู่เพื่อนสนิทผู้ชาย มากกว่าดื่มเพื่อเข้าสังคมหรือจีบสาว
กลับมาผงาดในฐานะซอฟต์พาวเวอร์
สงคราม กฎหมาย และการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทำให้มักกอลลีถูกหลงลืมไปจากการรับรู้ของผู้คนจำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับหายไปเสียทีเดียว จนกระทั่งวัฒนธรรมบันเทิงของเกาหลีที่ถูกถ่ายทอดผ่านละคร ภาพยนตร์ และดนตรีกลายเป็นที่ยอมรับของคนในวงกว้างขึ้นนับตั้งแต่ยุคปี 2000 เป็นต้นมา ก็มีผลให้ความนิยมในการดื่มกินอาหารเกาหลีเติบโตไปพร้อมๆ กัน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเกาหลีใต้จึงกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ และผู้คนก็คิดถึงบรรยากาศของการร่ำสุรากับเพื่อนฝูง กับเพื่อนร่วมงาน ทำให้วัฒนธรรมการดื่มมักกอลลีได้รับการฟื้นฟูโดยผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่ยอมลงทุนเดินทางไปตามเมืองเก่าๆ เพื่อเก็บเกี่ยวและเรียนรู้สูตรของการหมักมักกอลลี
นอกจากผู้คนที่เห็นความสำคัญของเหล้าพื้นเมืองแล้ว รัฐบาลเกาหลีใต้เองก็เช่นกัน รัฐบาลได้แก้ไขกฎหมายเพื่อวางแนวทางในการผลิตและขายเหล้าพื้นเมืองให้ได้มาตรฐานมากขึ้น เช่น การกำหนดวัตถุดิบที่ใช้ต้องเป็นข้าวพื้นเมืองที่ผ่านเกณฑ์ของรัฐบาล การบังคับให้ผู้ผลิตระบุส่วนผสมและแหล่งที่มาของวัตถุดิบให้ชัดเจน รวมถึงการควบคุมคุณภาพสินค้าให้มีรสชาติสม่ำเสมอและปลอดภัย ก่อนจะอนุญาตให้ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกาหลีใต้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ภาพลักษณ์ของเหล้าพื้นเมืองจึงถูกปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยและมีคุณภาพตามหลักเกณฑ์สากล และรัฐบาลเกาหลีใต้เองก็มีนโยบายส่งเสริมการส่งออกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สัญชาติเกาหลีไปสู่ต่างประเทศด้วย
หากจะย้อนกลับไปตอบคำถามที่ว่า “อะไรทำให้เกาหลีใต้สามารถรื้อฟื้นเหล้าพื้นเมืองโบราณที่เกือบจะหายไปตลอดกาล ให้กลับมาสร้างรายได้ในตลาดสุราอีกครั้ง และกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในปัจจุบัน?”
คำตอบที่ชัดที่สุดก็คงจะเป็นการที่ผู้คนยังคงเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมพื้นเมือง และเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเหล้าพื้นเมือง จากที่มองว่าล้าสมัย ไม่โก้หรู ก็พยายามพัฒนาให้มีแพ็คเกจจิงหรือภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น ที่สำคัญ คือการสนับสนุนจากภาครัฐที่ช่วยให้มักกอลลีกลับมาผงาดในตลาดนักดื่มอีกครั้ง รวมทั้งเป็นหนึ่งใน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของประเทศที่ส่งออกสู่สายตาชาวโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับมามองตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศของเราเอง กลับเจอความคล้ายและแตกต่างอยู่หลายข้อ ประเทศไทยก็มีเหล้าพื้นเมือง เหล้าที่มีความเป็นมาคู่กับวัฒนธรรมอยู่มาก แต่กลับเป็นที่รู้จักเพียงในกลุ่มคนเฉพาะกลุ่ม
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สังคมไทยต้องปรับมุมมองเกี่ยวกับเหล้าพื้นเมืองใหม่ และเรียนรู้ที่จะต่อยอดวัฒนธรรมการดื่มสุราพื้นเมืองไทย ถือเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเปิดประสบการณ์ให้เหล่านักดื่มทั้งหลายไปพร้อมๆ กัน
อ้างอิง
- CNN. Makgeolli: How Korean rice wine is stepping out of soju’s shadow. https://cnn.it/3Q3byAE
- The Korea Times. Systematic Efforts Needed to Stir Makgeolli-Mania Abroad. https://bit.ly/3GWQ9Fi
- Yonhap. ‘Makgeolli,’ Korea’s traditional rice wine, looks to restore its old glory. https://bit.ly/3Q8RNYO