เราขอพูดแทนในนาม ผืนดิน สายน้ำ ป่าเขาลำเนาไพร อากาศบริสุทธิ์ แหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัยที่เรารัก เพราะเขาพูดแทนตัวเองไม่ได้

13 Min
299 Views
15 Dec 2022

ผืนดิน สายน้ำ ป่าเขาลำเนาไพร อากาศบริสุทธิ์ แหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัยที่เรารัก ล้วนทรงคุณค่า ทรงความหมาย และทรงพลังต่อการฟื้นฟูและอนุรักษ์เพื่อธำรงไว้ซึ่งความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ของทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ต่างอยู่รอดมาอย่างยาวนานด้วยการพึ่งพาอาศัยกัน การอิงอาศัยกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกันมาโดยตลอดจากทุกชีวิตในโลกธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากลายของชีวิตในดินและบนดิน ล้วนส่งสัญญาณถึงพวกเราให้ได้สัมผัสถึงความผาสุก ความทรงพลังที่ไร้การปรุงแต่ง ความงดงามเฉพาะตัวของพืชพรรณและสัตว์ป่าที่หาชมที่ไหนไม่ได้ในผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญเราก็สัมผัสได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจทุกครั้งที่เรามองดูพื้นที่เหล่านั้น แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ชั้นดินที่มีคุณภาพนั้นกำลังหายไปทับถมรวมกันอยู่ในทะเลจวนจะหมดแล้ว และผืนดินไทยทั่วเทศนั้น ก็กำลังเสื่อมสภาพและขาดสารอาหารสูงมากอีกด้วยเช่นกัน

โดยสาเหตุหลักๆ ที่ผืนดินเสื่อมสภาพก็เป็นผลมาจากการขยายพื้นที่เมือง สร้างบ้าน สร้างถนน การขยายพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมขนานใหญ่ และการขยายพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวจำนวนมากมายหลายพันหลายแสนล้านไร่ทั่วโลก ซึ่งมันจำเป็นต้องตัดผืนป่าดั้งเดิมทิ้งไปเสียหมด กระบวนการนี้จึงส่งผลให้ดินเสื่อมสภาพอย่างหนักหน่วง พอดินขาดความสมดุลของค่าความเป็นกรดด่าง หรือค่า Ph ในดินไป สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว อย่าง แบคทีเรีย เห็ดรา โปรโตซัว ไส้เดือนดิน และทุกชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในดินต่างก็ทยอยหายตัวไปด้วย เพราะจากการโดนเบียดเบียนและสูญเสียที่อยู่อาศัยของตนไปอย่างรวดเร็ว เราสังเกตได้จากบนผืนดินอันแข็งกร้าน ที่ล้วนขาดเหล่าจุลินทรีย์ในดินสูงมาก ขาดระบบรากของเหล่าพืชพรรณ และชีวิตขนาดเล็กในดินต่างก็ขาดสารอาหารที่จะมาหล่อเลี้ยงพวกเขาได้ในระยะยาว บนผืนดินที่ขาดความสมดุล ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในดินและบนดินมักจะขาดเพื่อนฝูง ขาดการติดต่อสัมพันธ์กันจากญาติมิตรของตนไป จนกระทั่งว่าทั้งเหล่าต้นไม้ หรือพืชเกษตรที่ยืนต้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนผืนดินอันเสื่อมสภาพ ต่างก็ดูเหงา เศร้าใจ ไร้ความร่าเริงสุขสันต์ เดือดร้อนทุกข์ใจทุกครั้งที่เห็นเพื่อพ้องของตนเลือนหายไปอย่างเงียบๆ ผ่านความรับผิดชอบของพวกเรานี่เอง และในวันนี้ที่ผืนดินทั่วทั้งประเทศถูกกระทำอย่างไม่หยุดหย่อน ต่างก็กำลังส่งสัญญาณให้พวกเราเห็นแล้วว่า พวกเขาเสียใจ ทนทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเป็นอย่างมาก ที่ขาดความสมดุลอันหลากหลายของชุมชนชีวิตที่เคยหล่อเลี้ยงเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาจวนจะสูญสิ้นแล้ว ตนเชื่อว่าถ้าคุณลองออกไปสัมผัสเรื่องนี้ด้วยตัวเองตามพื้นที่ต่างๆ คุณก็จะสัมผัสได้เช่นกันว่า “บนผืนดินที่เสื่อมสภาพอย่างน่าสลดใจ สภาพแวดล้อมที่เหลือก็จะดูไร้ชีวิตชีวาไปด้วยเช่นกัน”

วันนี้ที่ตนได้มีโอกาสเข้าร่วมการเขียนบทความผ่านแรงบันดาลใจชิ้นนี้ ในหัวข้อที่ตนเชื่อว่า “มีความสำคัญมากสุดแห่งทศวรรษเลยก็ว่าได้” ซึ่งตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายๆ คน ที่กำลังเริ่มต้นที่จะให้ช่วยฟื้นฟูและอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้เอาไว้ร่วมกันให้ได้ทั่วประเทศ “เพราะการอนุรักษ์และการฟื้นฟูไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพียงแค่ในพื้นที่อนุรักษ์ หรือ ในเขตอุทยานเท่านั้น แต่เราเริ่มต้นได้ทุกวันที่บ้านของเราเอง”

            ถ้าหากเราอยากจะรักษาสิ่งที่เราทั้งรัก และขาดมันไปเสียมิได้เลยในวันนี้เอาไว้ เราคงต้องขบคิดกันอย่างจจริงจังเร่งด่วนแล้วว่า อะไรบ้างล่ะ ที่เราควรจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของสิ่งที่เรารัก ที่นอกเหนือไปจากสิทธิของมนุษย์ และนั่นก็คือสิ่งที่กล่าวมาในหัวข้อด้านบนนี้เอง คงจะมีน้อยคนนักที่จะมอบ “คุณค่าและความหมายให้กับสิ่งมีชีวิตที่พูดแทนตัวเองไม่ได้” แต่พวกเขาทั้งหลายก็ส่งสัญญาณถึงพวกเราอยู่ตลอดเวลา และพยายามแสดงตัวตนให้พวกเราเชยชมอยู่ทุกวัน หรือ แทบจะตลอดเวลาก็ว่าได้ และจะมีสักกี่คนบ้างนะที่มีเวลาหยุดทักทาย นั่งฟังเสียงของพวกเขา และชื่นชมความน่าทึ่งของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ที่อาศัยอยู่รายล้อมตัวเราเป็นประจำ เพื่อจะลองได้ยินเสียงเร้นลับของพวกเขา เราจักต้องอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานานได้มากพอ หรือ ต้องอยู่ร่วมกันตลอดไปเลยก็เป็นได้ “และเราก็จะเริ่มเห็นว่าแท้จริงแล้ว พวกเขาอยากจะแบ่งปันความสุข และปรับทุกข์กับเราอยู่หลายอย่างเสมอ”

            ในนามของผืนดิน: หากถามว่ามีใครเคยได้ยินเสียงของผืนดินที่ถูกกระทำโดยไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยปากต่อว่า หรือ โกรธแค้นเอาคืน จากการโดนไถพรวนพื้นผิวและร่างกายของที่ดินสักผืนหนึ่ง จากรถไถดินหลากหลายประเภทบ้างล่ะ? หรือ จากการโดนเผาไหม้จนเกรียม และจากการถูกฉีดพ่นสารเคมีพิษนับชนิดไม่ถ้วนทั้งทางตรงและทางอ้อมบ้างล่ะ? พวกเราส่วนใหญ่คงไม่เคยได้ยินเสียงเหล่านั้นหรอก เพราะเราไม่สนใจความต้องการของสิ่งอื่น นอกจากของตัวเราเอง มนุษย์เราต่างก็คิดว่าเรามีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ต่อผืนดินสักแห่งหนึ่ง โดยลืมคำนึงถึงชีวิตของดิน และชีวิตอื่นๆ ที่พึ่งพาอาศัยผืนดิน “ซึ่งก็เป็นทั้งบ้าน แหล่งอาหาร และเป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์กับเพื่อนคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในผืนดินแห่งนั้น…”

            ในนามของสายน้ำ: ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทุกวันนี้สภาพแหล่งน้ำหลายแห่งทั่วโลกกำลังเผชิญกับการปนเปื้อนขอสารเคมีพิษนับชนิดไม่ถ้วนอย่างไม่เคยมีมาก่อนตลอดประวัติศาสตร์ของโลก ทั้งจากภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขุดเหมืองแร่ ภาคการผลิตปุ๋ยเคมีสังเคราะห์และสารเคมีพิษจำกัดศัตรูพืช และการผลิตยาปฏิชีวนะ ซึ่งท้ายที่สุดสารพิษเหล่านั้นมันก็หลุดรอดออกไปปนเปื้อนในแหล่งน้ำทุกครั้งอยู่ล่ำไป อาการเจ็บป่วยทางกายและใจของผู้คนต่างก็เป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายความสมดุลทั้งนั้น ความใสสะสะอาดของแหล่งน้ำที่เคยมีมากำลังหมดยุคไปเสียแล้ว เรามีแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีพิษสูงเป็นประวัติการณ์ยังไม่พอ เรายังมีห่วงโซ่อาหารที่ปนเปื้อนสารพิษทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศอีกด้วยเช่นกัน สารเคมีพิษมีทั้งแบบออกฤทธิ์ทันทีและค่อยๆ ปลดปล่อยออกมาทีละน้อย ล้วนจะเข้าไปสะสมอยู่ในเซลล์ของร่างกายเรา จนวันหนึ่งมันก็จะประทุขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ “และแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนนี้เอง ก็ส่งสัญญาณให้เราอีกแล้วแหละว่า น้ำที่พวกเราดื่มกินและนำไปประกอบอาหารในทุกวันนี้ มันสอดไส้มาด้วยสารเคมีพิษที่เป็นภัยต่อสุขภาพของทุกชีวิตทั้งนั้นแล…”

            ในนามของป่าเขาลำเนาไพร: ในวันที่มนุษย์เราไม่เกรงกลัวการสูญเสียผืนป่าดงดิบเป็นจำนวนมหาศาลในตอนนี้นั้น ย่อมแสดงถึงความตัดขาด และแบ่งแยกกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติอย่างชัดเจน พอเราพูดถึงผืนป่า เพียงแค่หลับตาลงเราก็เห็นภาพในใจขึ้นมาทันทีว่า มันคือภาพธรรมชาตินี้เอง ต้นไม้ต้นหนึ่งที่เห็นเพื่อนพ้องอีกหลายต้นของตนโดนตัดทิ้ง หรือโดนเผาทิ้งไปต่อหน้าต่อตา เขาได้ส่งเสียงถึงคนพวกนั้นว่าให้หยุดโค่นล้มพวกเราเสียเถอะ แต่กลับไม่มีใครได้ยินเสียงเขาเลย ทุกครั้งที่เมล็ดของเหล่าพันธุ์ไม้มีโอกาสหล่นลงบนผืนดินอันว่างเปล่า หรือ แม้แต่บนผืนดินที่มีเหล่าพืชพรรณหลงเหลืออยู่บ้าง “พวกเขาเพียงอยากจะหยั่งรากลึกๆ อยากจะงอกงามเติบโต และอยากจะฟื้นคืนผืนป่าให้อุดมสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วโครงการพัฒนาต่างๆ ของภาครัฐและนายทุน กลับกำลังกลืนกินทุกพื้นที่ไปอย่างเอากลับคืนมาไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่เคยนึกคิดในฐานะของผืนป่าเสียเอง…”

ในนามของอากาศบริสุทธิ์: ครั้งหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าไปในเมืองหลวงของไทยเรา รู้สึกว่าทุกคนกำลังไม่สบายเป็นอย่างมาก เหตุผลหนึ่งคงจะมาจากปัญหาฝุ่นควันพิษที่ทำลายความบริสุทธิ์ของอากาศหนักขึ้นในทุกๆ ปี แม้ตัวเราจะไม่ใช่อากาศ แต่เราก็รู้ได้ว่าเราต้องการสูดหายใจเอาอากาศที่ปลอดมลพิษ ในวันที่อากาศย่ำแย่ในเมืองใหญ่ หรือ แม้แต่ในเมืองเล็กๆ ก็ตามที ทุกคนก็รู้ได้ว่ามันทำให้ทุกอย่างอึดอัดทั้งกายและใจ จนรู้สึกไม่น่าอยู่มากขึ้นทุกวัน สำหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วยเช่นกัน พวกเขาต่างก็รู้ว่ามันเลวร้ายแค่ไหน ถ้าอากาศไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ ธรรมชาติของทุกชีวิตล้วนต้องการเติบโตในสภาพอากาศที่บริสุทธิ์กันทั้งนั้น และในวันที่ผู้คนเป็นโรคทางเดินหายใจ โรคมะเร็งปอดเพิ่มมากขึ้น สาเหตุหนึ่งคงหนีไม่พ้นการสูดดมอากาศที่เป็นพิษสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้เอง แทนที่เราจะลดกิจกรรมที่ก่อมลพิษในอากาศลงทั้งหมด แต่สิ่งที่เราทำกลับเป็นเพียงการป้องกันตัวเองในระยะสั้นเท่านั้น และอยู่อาศัยในเมืองอันแออัดที่มวลอากาศเต็มไปด้วยมลพิษกันต่อไป “แม้แต่ตัวอากาศเองก็รู้ดีว่าเธอต้องการ “ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ ธารน้ำที่ใสบริสุทธิ์ ผืนป่าที่จะค่อยดูดซับก๊าซพิษออกจากชั้นอากาศ และเป็นผู้ช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น” แต่มนุษย์เรากำลังหยุดยั้งกระบวนการนี้อยู่ โดยการสร้างถนนปกคลุมผืนดินเอาไว้ ทำลายแหล่งน้ำโดยการปล่อยสารเคมีพิษลงไป ตัดต้นไม้ทิ้งไปเพราะมันเกะกะสายตา และรบกวนสายไฟฟ้าตามตึกอาหารและแนวถนน ในตัวเมืองก็มีแต่บ้านเรือน ห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ น้อยมาก และส่วนใหญ่ก็มีเพียงมนุษย์ ซึ่งต้องการออกซิเจนมากสุดเพื่ออยู่รอด แต่กลับมิได้ช่วยให้อากาศมีคุณภาพดีขึ้นแม้แต่น้อย…

            ในนามของแหล่งอาหาร: ทุกวันนี้เรากำลังเผชิญกับการตัดขาดจากแหล่งที่มาของอาหารกันสูงมาก เรามีเวลาน้อยลงที่จะปลูกอาหารกินเอง เรามีเวลาน้อยลงที่ทำอาหารกินเอง เราจึงสนใจน้อยลงว่าแท้จริงแล้วนั้น แหล่งอาหารที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันมาจากไหนบ้าง และใครเป็นผู้ผลิต หากเทียบกับคนสมัยก่อน อย่างรุ่น ปูย่า ตายาย ของพวกเรา คงจะนึกไม่ออกเลยว่าพวกเราตัดขาดกับแหล่งอาหารมากถึงเพียงใดในวันนี้ เพราะแต่ก่อนมันยังไม่มีอาหารแปรรูปในโรงงานหลายรูปแบบให้เราได้เลือกซื้อกันได้ตลอดเวลา อาหารเหล่านี้ไม่เคยหมด มีเต็มชั้นวางของทุกวันและตลอดทั้งปี จึงกลายเป็นว่าอาหารที่ออกมาจากโรงงาน หรือ แม้แต่อาหารตามร้านประจำของคุณก็ตาม กลับเป็นแค่แหล่งอาหารที่ทำให้เราอิ่มท้องไปวันๆ และไม่ทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าของอาหารนั้นๆ เลย หากเทียบกับแหล่งอาหารในสมัยก่อน ที่แทบจะทุกครัวเรือนเพาะปลูกอาหารกินเอง ทำอาหารกินเอง รู้จักวิธีออกหาและนำไปประกอบเมนูได้อย่างหลากหลากมากจนน่าทึ่ง แต่ทุกววันนี้เรากินอาหารอยู่ไม่กี่เมนู บ่อยครั้งก็ไม่มีเวลาทำอาหารกินเองด้วยซ้ำ พอเราตัดขาดจากที่มาของแหล่งอาหาร เราจึงไม่รู้ว่าอาหารนั้นเพาะปลูกอยู่ที่ไหน ใครเป็นคนปลูก ปลูกด้วยวิธีการใด (เช่น ปลูกเชิงเดี่ยว ใช้เครื่องเป็นหลัก ใช้สารเคมีพิษหนักหน่วง หรือ เพาะปลูกเชิงนิเวศ ใช้แรงคนในชุมชนเป็นหลัก ปลูกปลอดสารพิษ เป็นต้น) ถ้าลองสังเกตดูเวลาที่เรากินอาหาร เราจะมีความรู้สึกต่างกันอยู่มาก ถามว่าทำไมถึงมีความสำคัญที่เราจะต้องรู้ ก็เพื่อเราจะได้ไม่ตัดขาดจากแหล่งอาหารที่เราบริโภคกันอีกต่อไป เราจะไม่ใช่กินอาหารเพียงแค่อิ่มท้อง แต่เราจะสำนึกถึงคุณค่าของอาหารมากขึ้น เราจะไม่กินทิ้งกินขว้าง เราจะมีความสัมพันธ์กับอาหารที่เรากินมากขึ้น “แหล่งอาหารทุกชนิดล้วนต้องการความดูแลเอาใจใส่ ไม่ใช่ในแบบโรงงาน ไม่ใช่ในแบบเชิงเดี่ยว ไม่ใช่ในแบบใช้เครื่องเป็นหลัก แต่เป็นในแบบตัวต่อตัวกับคนที่ปลูกและคนที่กิน อยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ห่วงใยซึ่งกันและกัน ดูแลกันเหมือนอาหารนั้นๆ เป็นเหมือนคนที่เรารัก และนี่ก็คือส่วนหนึ่งที่แหล่งอาหารต้องการจะบอกกับพวกเรา…

            และในนามของที่อยู่อาศัยที่เรารัก: รู้สึกว่าผู้คนส่วนใหญ่กำลังตัดขาดจากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เราสนใจสภาพแวดล้อมตามที่อยู่อาศัยของเราน้อยลงไปทุกที ตนขอยกตัวอย่างที่อยู่อาศัยของคนในชุมชนที่ตนอยู่ในตอนนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมากที่สุด พอเห็นว่ามีน้อยคนซะเหลือเกินที่จะทำให้บ้านเรือนของตัวเองน่าอยู่และดูปลอดภัย เรื่องเล่านี้มีอยู่ว่าชุมชนนี้เป็นชุมชนที่เพาะปลูกพืชเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นหลัก มีการใช้สารพิษจำกัดศัตรูพืชทุกประเภทสูงมาก และพึ่งพาปุ๋ยเคมีสูงมากเช่นกัน ซึ่งมันส่งผลให้แทบจะทุกคนในชุมชนแห่งนี้ใช้ยาฆ่าหญ้ารอบๆ บริเวณบ้าน โดยเฉพาะหน้าบ้าน แม้แต่ร้านอาหารตามสั่งก็ยังฉีดยาฆ่าหญ้าล้อมร้านเป็นว่าเล่น แถมยังมีผู้คนเข้าออกสั่งอาหารเหมือนไม่มีใครสงสัยว่าทำไมถึงทำเช่นนี้ด้วยล่ะ หรือมักฉีดพ่นตามแหล่งน้ำแบบโดยตรงอย่างจงใจ หญ้าอันเขียวขจีแทบจะไม่มีให้เห็นในบางฤดูกาล เพราะทุกอย่างเป็นสีไหม้เกรียมจากการโดนฉีดพ่นสารเคมีพิษ ตนเชื่อมากๆ ว่าอะไรที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่อาศัย มันก็จะส่งผลถึงสุขภาพกายและจิตของพวกเราไปด้วยเช่นกัน แต่อีกหลายๆ คนกลับมองไม่เห็นว่ามันดูน่ารังเกียจมากเท่าไหร่ มันดูน่าหดหูใจมากเท่าไหร่ ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เด็กเล็กในชุมชน ต่างก็เติบโตมากับการสัมผัสสารพิษเหล่านี้ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครกังวลเรื่องนี้เลย ทุกครั้งที่พวกเขาฉีดพ่นยาเคมีพิษในไร่สวน หากวันไหนมีเด็กๆ มาด้วย พวกเขาก็แค่ปล่อยให้เด็กวิ่งเล่นกันท่ามกลางฝุ่นละอองสารเคมีพิษนั้น เหมือนเป็นเรื่องปกติอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น ตนยอมรับว่าเรื่องนี้มันสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งที่ ไม่มีใครลุกขึ้นมาต่อว่า หรือหาวิธีเข้าไปพูดคุยเพื่อบอกให้พวกเขารู้สักนิดว่า เขากำลังทำลายสุขภาพของเด็กๆ อย่างไม่ยั้งคิด นี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีใครตระหนักเรื่องปัญสุขภาพของเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุเลยแม้แต่น้อย และที่ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่มีใครสนใจและใส่ใจ “เรื่องสุขภาพของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเลยสักนิดเดียว” ตนได้ขบคิดมาอยู่หลายปีว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับคนในชุมชนอย่างไรดี ก็หมดหวังไปเสียแล้ว เพราะไม่มีใครอยากได้ยินผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของพวกเขาจากการฉีดพ่นสารเคมี พวกเขายอมทำลายคุณภาพของ ผืนดิน แหล่งน้ำ ผืนป่า (กล่าวคือมีการตัดถางป่าออกเป็นจำนวนมากนับมาตั้งแต่อดีต และก็ยังไม่หยุดหย่อนจนถึงทุกวันนี้ บางพื้นที่ก็แค่เอาป่าออกและเผาทิ้ง จากนั้นก็บรรทุกดินมาถมให้สูงขึ้น และติดประกาศขายที่ดินจำนวนเท่านั้นเท่านี้ไร่ พอเวลาผ่านไปเป็นหลายปีก็ยังไม่ได้ขาย นี่คือการเสียพื้นที่ป่าไปโดยเปล่าประโยชน์โดยแท้ และก็ทำลายที่อยู่อาศัยของชีวิตอื่นไปอย่างจงใจ) แหล่งอาหาร ความบริสุทธิ์ของอากาศโดยรวมแล้วยังไม่พอ แต่ยังยอมทำลายที่อยู่อาศัยของตัวเองร่วมเข้าไปอีกด้วย เพื่อแลกกับอาการเจ็บป่วยในภายหลัง ขอเพียงแค่ได้ทำกำไรไว้ก่อนเพื่อเก็บไว้รักษาตัวในอนาคต สิ่งเหล่านี้เองคือเสียงสะท้อนจากการไม่ใส่ใจดูแลที่อยู่อาศัยของเราเองตั้งแต่แรก เพราะในสุดท้ายที่ดินผืนนั้นจะเอาคืนอย่างสาสม และมนุษย์ที่ไร้มิตรไมตรีต่อชีวิตอื่นก็จะทำได้เพียงโอดครวญว่า ไม่ควรคิดอยากทำลายความอุดมสมบูรณ์บนที่อยู่อาศัยของตนแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวเลย ทั้งหมดก็เพียงเพื่อจะได้แสวงหาผลกำไร และกำจัดสิ่งอื่นทิ้งไปอย่างไร้ค่าและไร้ความหมาย นี่คือตัวอย่างของการตัดขาดความสัมพันธ์อันดีกับที่อยู่อาศัยอย่างไร้ความรับผิดชอบอีกเช่นกัน…

ขอกล่าวถึงสิ่งที่อยากจะเริ่มทำเพื่อให้ทุกสิ่งอย่างที่กล่าวมานี้จะคงอยู่กับเราไปอีกยาวนาน

            ถ้าถามว่าเราจะดูแลรักษาและอนุรักษ์ฟื้นฟู ผืนดิน สายน้ำ ป่าเขาลำเนาไพร อากาศบริสุทธิ์ แหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัยที่เรารัก ได้อย่างไรบ้างนั้น มันเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมากที่สุด ที่เราจะเริ่มต้นทำได้ นั่นก็คือ

·      ทำลายล้างทุกชีวิตอื่นให้น้อยลง

·      คิดถึงความต้องการของทุกชีวิตอื่นให้มากขึ้น และเคารพสิทธิและบทบาทของทุกชีวิตอื่นให้เท่าเทียมกับชีวิตมนุษย์

·      รู้จักแบ่งปันอาหารและที่อยู่อาศัยร่วมกันกับทุกชีวิตอื่นให้มากขึ้น

·      หยุดนับถือว่าทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้เป็นของมนุษย์ เพราะที่จริงแล้ว มนุษย์ไม่ได้มีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ต่อทุกชีวิตอื่นที่เหลืออยู่

·       หยุดยึดถือว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง เพราะมนุษย์เราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกเท่านั้น

·      เปิดใจที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมดั้งเดิมของชนเผ่าพื้นเมือง ผู้เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เรา ซึ่งดำรงอยู่มาอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับโลกธรรมชาติ และถือเป็นผู้พิทักษ์สรรพชีวิตโดยแท้ หากเราปฏิบัติต่อโลกได้ในแบบที่ชนเผ่าพื้นเมืองทั้งหลายยึดถือกัน มวลปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่เราเผชิญอยู่ในวันนี้คงจะลดน้อยลงไปบ้าง

หากเราเริ่มต้นฟังเสียงของทุกชีวิตอื่นได้ว่า พวกเขาต้องการอะไร ดังเช่น ผืนดิน ต้องการความอุดมสมบูรณ์ของเหล่าจุลินทรีย์ สารอาหาร รากพืช แมลง สัตว์ป่า รวมถึงสัตว์มนุษย์ด้วย เพื่อย้อนกลับคืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันสืบต่อไป สายน้ำ ต้องการความใสสะอาด ไร้สารพิษปนเปื้อน เพื่อทุกชีวิตที่พึ่งพาแหล่งน้ำจะได้มีสุขภาพกาย ใจ และจิตที่สมบูรณ์ ป่าเขาลำเนาไพร ต้องการความหลากหลายของพืชพรรณและสัตว์ป่า รวมถึงสัตว์มนุษย์ด้วยเช่นกัน เพราะผืนป่าถือเป็นที่อยู่อาศัยธรรมชาติของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา นับมาตั้งแต่แรกเริ่ม ผืนป่าคือบ้านที่ปลอดภัยมากที่สุดสำหรับบรรพบุรุษของเรา และสำหรับพวกเราด้วยอย่างแน่นอน คุณอาจจะโต้แย้งประเด็นนี้ แต่อาจเป็นเพราะคุณเชื่อฟังวัฒนชาวธรรมเกษตรเสียมากกว่า ที่จะฟังวัฒนธรรมของชนล่าสัตว์และเก็บของป่า ซึ่งตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ต่างก็ดำรงอยู่มาในแบบชนล่าสัตว์และเก็บของป่าอย่างยาวนาน คิดเป็น 97 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ฉะนั้นนี่คือเสียงสะท้อนจากผืนป่า ที่ทั้งเหงาและไร้เสียงของญาติมิตรจากสายพันธุ์อื่นๆ อากาศบริสุทธิ์ เพียงแค่เราหันมาฟื้นฟูผืนดิน แหล่งน้ำ และผืนป่าให้กลับคืนมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้งหนึ่ง อากาศที่เป็นพิษในวันนี้ก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เองโดยอัตโนมัติ รวมถึงจะต้องลดและหยุดกิจกรรมที่ก่อมลพิษในอากาศกันให้ได้ (ไม่ว่าจะในเมืองหรือต่างจังหวัดก็ตามที) อากาศในเมืองเป็นปัญหาของกิจกรรมที่เกิดขึ้นโดยตัวเมืองเองเป็นหลัก อย่างกิจกรรมการเผาไหม้เชื้อเพลิงของยานยนต์ทุกประเภท กิจกรรมของอุตสาหกรรมการผลิตทุกประเภทที่ปล่อยควันพิษขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ส่วนอากาศนอกเมืองก็เป็นปัญหาของภาคเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นหลัก ที่มีการเผาแบบเปิดเป็นจำนวนมาก อย่าง เผาป่าทำเกษตรเชิงเดี่ยว เผ่าไร่อ้อย เผาตอฟางข้าว เผากองขยะตามบ้านเรือน ฉีดพ่นสารเคมีพิษซ้ำแล้วซ้ำเล่านับทศวรรษไม่ถ้วน และอากาศตามย่านเมืองในต่างจังหวัดเอง ก็เป็นพิษไม่แพ้กันกับในเขตเมืองหลวงของประเทศ ถ้าคุณเปิดกระจกสูดอากาศข้างนอกดูบ้าง คุณก็จะรู้ได้ว่ามันย่ำแย่ไม่ต่างกันเลยจริงๆ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็ตามทีทุกวันนี้ แหล่งอาหาร ตนเชื่อมากว่า คนเราทุกคนล้วนอยากจะบริโภคอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดสารเคมีพิษ มีวิธีการเพาะปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยแท้ และเข้าถึงกันในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป สิ่งเหล่านี้เราทุกคนล้วนทำเองได้ที่บ้านกันทั้งนั้น ขอแค่มีเวลาทำอย่างจริงใจ แต่ในความเป็นจริงคงไม่เป็นเช่นนั้นแน่ ถ้าหากวันหนึ่งเราหันมาเพาะปลูกอาหารกินเองได้มากขึ้น หรืออย่างน้อยๆ ก็เริ่มใฝ่รู้ทางด้านแหล่งที่มาของอาหารประเภทต่างๆ ที่เราบริโภคกันเป็นประจำให้สูงขึ้น เราก็จะสามารถกลับมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเรากับเรื่องอาหารได้มากขึ้น ยิ่งถ้าปลูกกินเองได้มากเท่าไหร่ ก็จะเราเห็นคุณค่าของอาหารหารมากขึ้นเท่านั้น อาหารทุกอย่างเปรียบเสมือนยารักษาโรคไปในตัว ถ้าเราบริโภคอาหารที่ปลอดภัยไร้สารเคมีปนเปื้อน โรคร้าย อย่าง มะเร็งชนิดต่างๆ ก็จะลดน้อยลงไปด้วย และที่อยู่อาศัยที่เรารัก บางคนก็ชอบอยู่ในเมือง อยู่ในบ้านปูนซีเมนต์  บางคนก็ชอบอยู่ในบ้านไม้  บางคนก็ชอบอยู่อย่างสมถะในป่าเขา มีกระท่อมหลังเล็กๆ ก็เพียงพอแล้ว และอีกหลายๆ คน ก็เพียงไม่สนใจสักเท่าไหร่ว่า ที่อยู่อาศัยของตนจะเป็นเช่นไร ขอแค่ให้มีทีวี ตู้เย็น พัดลม บางห้องก็ติดแอร์ มีรถยนต์ขับ มีงานทำ มีเงินให้ใช้ มีเวลาไปเที่ยวพักผ่อน แต่กลับไม่เคยมีเวลาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมในที่อยู่อาศัยของตน เพราะบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็อยู่เหมือนๆ กัน หากมองเป็นภาพรวมเรื่องที่อยู่อาศัยในยุคสมัยนี้ เราก็จะเห็นว่า ที่อยู่อาศัยของพวกเรากำลังไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว มันรู้สึกวังเวงไร้ชีวิตชีวา เพราะมันขาดหลายสิ่งอย่างที่มันเคยมีมาตั้งแต่แรก อย่าง ต้นไม้ใหญ่ๆ อายุหลายร้อยปี  ป่าไม้รอบๆ ที่ลดน้อยลงไปทุกวัน เหล่าพืชพรรณ เห็ดรา แมลง และสัตว์ป่าที่เคยอยู่อาศัยแถวนั้น และที่สำคัญ มันขาดสมาชิกของครอบครัวมนุษย์เราที่ทยอยออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น จนแทบจะไม่เหลือใครให้ใส่ใจและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เพราะทุกคนกำลังเร่งรีบจนเกินไปกับภาระหน้าที่อันผิดธรรมชาติของมนุษย์

ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่พวกเราจะเริ่มทำได้อยู่บ้างก็คือ การย้อนกลับคืนเข้าไปในที่อยู่อาศัยอันสอดคล้องกับแนวทางของธรรมชาติให้มากขึ้น โดยการกลับบ้านคืนถิ่น กลับไปฟื้นฟูรักษาและอนุรักษ์ ผืนดิน แหล่งน้ำ ผืนป่า แหล่งอาหารให้เกิดความหลากหลายของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ให้กลับคืนมาอีกครั้ง และปราศจากการใช้สารเคมีพิษ หรือ ช่วยกันลดการปนเปื้อนสารพิษให้มากขึ้น หากเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ อากาศอันแสนบริสุทธิ์จะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ และทั้งหมดนี้เองมันก็จะส่งผลให้ที่อยู่อาศัยของเรามีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปในตัว ซึ่งจะช่วยหล่อเลี้ยงและเกื้อกูลทั้งสุขภาพทางกาย และสุขภาพทางจิตวิญวิญญาณของพวกเราและทุกชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้เทียบเท่ากับที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติเป็นแน่แท้