“ชาวสหรัฐฯ มากกว่า 75% มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ และคนไทยกว่า 40% ก็มีปัญหานี้เช่นกัน”
ปัญหาการนอนหลับเป็นหนึ่งปัญหาที่รบกวนทั้งจิตใจและร่างกาย ถ้านอนไม่หลับติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลถึงหน้าที่การงานและชีวิตความเป็นอยู่ได้เลยด้วยซ้ำ หลายคนอาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพส่วนตัว แต่ทราบกันหรือไม่ครับว่า เทคโนโลยีที่เราใช้กันอย่างคุ้นชินนั้น อาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นอนไม่หลับเช่นกัน แต่ไม่ใช่แค่การเล่นมือถือก่อนนอนเพียงอย่างเดียวเพราะเทคโนโลยีที่เรากำลังพูดถึงนั้นรวมถึง สมาร์ตโฟน โทรทัศน์ เครื่องเล่นเกม และการใช้งานคอมพิวเตอร์อีกด้วย
ปัญหาหลักก็คือหลับยาก ตื่นกลางดึกและตื่นมาพร้อมความงัวเงีย โดยเหตุผลหลักที่เหล่าเทคโนโลยีมีส่วนที่ทำให้เรานอนไม่หลับก็คือ
ยับยั้งเมลาโทนิน – แสงสีฟ้าจากจอจะยับยั้งการทำงานหรือบิดเบือนการสร้างเมลาโทนินที่เป็นฮอร์โมนสำคัญที่ทำให้เราง่วง และเชื่อมโยงกับวัฏจักรการนอนของเราโดยตรง
กระตุ้นการทำงานของสมอง – การที่เราใช้เทคโนโลยีจะทำให้สมองเราเข้าใจว่าเรายังคงต้องทำงานอยู่และแน่นอนสมองก็จะพยายามทำตัวให้ตื่นเข้าไว้เพื่อตอบสนองการทำงานของเรา
รบกวนการนอน – ไม่ว่าจะเป็น Social Media หรือ E-mail ทั้งงานและเรื่องส่วนตัวจะทำให้เรากระวนกระวายและรบกวนการนอนของเราด้วย
ปัญหานอนไม่หลับส่งผลกระทบทั้งในเรื่องของหัวใจ ความดันเลือดสูง หลอดเลือด เบาหวานและเพิ่มโอกาสในการประสบอุบัติเหตุ
มือถือ
65% หลับในขณะมีมือถืออยู่ข้างกาย
22% หลับในขณะเปิดระบบเตือนด้วยเสียง
10% ตื่นกลางดึกเพราะมือถือ
คอมพิวเตอร์
61% ของชาวสหรัฐฯใช้แลปท็อปในชั่วโมงก่อนนอน
50% ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ก่อนนอนหลับไม่ค่อยสนิท
การใช้คอมพิวเตอร์ในช่วงดึกส่งผลถึงความเครียดโดยตรง
84% ของชาวสหรัฐฯมักรับชมโทรทัศน์ก่อนนอน
19% เล่นวิดิโอเกมก่อนนอน
อัตราการใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยีก่อนนอน
Gen Z – 56%
Gen X – 22%
วัยรุ่น (13-18) – 61%
ผู้ใหญ่ตอนต้น (19-29) – 23%
ตรงความคาดหมายครับ เพราะวัยรุ่นก็เป็นช่วงวัยที่เล่นมือถือหรือใช้เทคโนโลยีในเวลาก่อนนอนมากที่สุดนั่นเอง
เอาเป็นว่าการเล่นมือถือหรือการใช้เทคโนโลยีก่อนนอนไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่นัก ลองใช้เวลาไปกับอะไรที่ผ่อนคลายมากกว่าอย่างการอ่านหนังสือ นอนเล่น หรือนั่งสมาธิก็ได้ครับจะช่วยให้การหลับนั้นมีประสิทธิภาพขึ้นแน่นอน
อ้างอิง: