ข่าวใหญ่ในช่วงนี้คงหนีไม่พ้น #ภาษีผ้าอนามัย ที่แม้จะเคลียร์กันไปแล้ว แต่ก็ยังมีประเด็นอื่น ๆ ตามมาให้ได้ตั้งคำถามต่ออีก
แน่นอนว่าไทย ไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีการถกเถียงเรื่องนี้ เพราะทั่วโลกก็ให้ความสนใจ
หลาย ๆ ประเทศถึงกับปรับภาษีผ้าอนามัย หรือมีนโยบายผ้าอนามัยแจกฟรีแล้วด้วย
ท่ามกลางการถกเถียงเรื่องผ้าอนามัยทั่วโลกและในไทย คุณเคยสงสัยไหม? ว่าผ้าอนามัยที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาในปัจจุบัน มันมีต้นกำเนิดมาจากไหน? แล้วก่อนที่จะมีผ้าอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งผู้หญิงใช้อะไรกัน?
มาดูคำตอบเลย
จริง ๆ แล้ว มนุษย์เพศหญิงก็มีวิวัฒนาการในการจัดการกับประจำเดือนมาตลอด โดยใช้สิ่งที่หาได้จากรอบตัว ซึ่งมีแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม เช่น ในหนังสือ Flow: The Cultural Story of Menstruation โดย Elissa Stein และ Susan Kim เผยว่า ในอดีตหญิงชาวอียิปต์ใช้เยื่อไม้ปาปิรุส (Papyrus) ส่วนผู้หญิงกรีกและโรมันใช้ผ้าสำลี (Lint) พันรอบแกนไม้เล็ก ๆ มาทำเป็นผ้าอนามัยแบบสอด (Tampon)
สำหรับคนไทยเอง หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินคำว่า ‘ผู้หญิงขี่ม้า’ จากละครเรื่องบุพเพสันนิวาสกันมาบ้าง สิ่งนี้ก็คือวิธีจัดการกับ ‘ระดู’ ของผู้หญิงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่มักจะนำผ้าซิ่นหรือเศษผ้ามาม้วนทบกันแล้วใส่แบบลอดหว่างขา โดยมีใยมะพร้าว หญ้าแห้ง หรือขนสัตว์ ยัดไว้ด้านในเป็นตัวซึมซับ
แล้ว ‘ผ้าอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง’ เป็นแผ่น ๆ มันเกิดขึ้นได้ยังไง?
เรื่องนี้ต้องย้อนไปในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ยุคนั้นสาวชนชั้นสูงทางฝั่งยุโรปและอเมริกาเหนือ นิยมใช้ผ้าสักหลาดและผ้าทอมารองซับเลือดประจำเดือน แต่ทีนี้ก็มีปัญหาเรื่องการนำมาใช้ซ้ำ เพราะมันไม่สะอาดเท่าที่ควร แถมยังน่ากังวลว่าจะติดแบคทีเรียหรือเชื้อโรคด้วย นี่จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด
เมื่อเป็นแบบนั้น ระหว่างปีค.ศ. 1854-1915 นักประดิษฐ์หลายคน จึงพยายามคิดค้นผลิตภัณฑ์สำหรับซับรอบเดือนของผู้หญิงขึ้นมาหลากหลายรูปแบบ เช่น กางเกงยาง หรือถ้วยอนามัย ซึ่งทำจากอลูมิเนียมและยางแบบแข็ง ซึ่งสองสิ่งนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากผู้หญิงในยุคก่อนยังไม่เห็นถึงความจำเป็นในการใช้เงินซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาใช้ และพวกเธอสามารถทำผ้าอนามัยโฮมเมดใช้เองได้ด้วย
แต่แล้วนวัตกรรมที่ถือเป็นต้นแบบของการผลิตผ้าอนามัยยุคใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยบริษัท Johnson & Johnson ในประเทศอังกฤษ ซึ่งคิดค้น “Lister’s towels” ผ้าอนามัยแบบแผ่นที่ทำจากผ้าก๊อซและผ้าฝ้ายออกจำหน่ายในปีค.ศ.1897 แต่ก็ดันแป้กซะอย่างนั้น เพราะหน้ากล่องดันมีคำว่า ‘Sanitary for ladies’ พ่วงท้าย ผู้หญิงเลยไม่สบายใจที่จะซื้อกัน
ทว่าบริษัทฯ ก็ไม่ได้ยอมแพ้ ปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้หีบห่อแบบเรียบ ๆ สไตล์มินิมอล ซึ่งมองภายนอกอาจไม่รู้ว่าเป็นผ้าอนามัย ในชื่อ ‘Nupak’ ออกมารอบสอง ซึ่งก็ไม่เปรี้ยงอยู่ดี ก่อนจะพัฒนามาเป็น ‘Modess’ ที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา (อันนี้คนไทยน่าจะคุ้นหูกันอยู่บ้าง) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าคู่แข่งที่ชื่อว่า ‘Kotex’
เพราะระหว่างที่ Johnson & Johnson กำลังง่วนกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขา พยาบาลสาวที่ดูแลทหารบาดเจ็บในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดค้นพบว่าโดยบังเอิญว่า ‘เซลลูโลส’ ที่ปกติใช้ทำแผลให้เหล่าทหารฝรั่งเศส เป็นวัสดุที่สามารถซับเลือดได้ดี ทั้งยังมีราคาถูกมากพอที่จะใช้แล้วทิ้งได้โดยไม่เสียดาย เรื่องนี้ถึงหูบริษัท Kimberly-Clark จึงถูกนำไปพัฒนาต่อ และมาเป็นผ้าอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งวางจำหน่ายครั้งแรกในปีค.ศ. 1918 ในนาม ‘Kotex’
‘Kotex’ หรือที่คนไทยเรียกว่า ‘โกเต็ก’ มาประสบความสำเร็จในปี ค.ศ. 1921 ผ่านการโฆษณาว่าผ้าอนามัยชนิดนี้สามารถทำให้ผู้หญิงใช้ชีวิตทำงานในโรงงานช่วงที่มีรอบเดือนได้ยาวนานขึ้น ผู้หญิงยุคนั้นจึงหันมาใช้ผ้าอนามัยสำเร็จรูปของ Kotex
แต่ระยะแรกผ้าอนามัย Kotex ก็ไม่ได้มีหน้าตาแบบปัจจุบันหรอก ยังต้องใช้สายเข็มขัดระโยงระยางในการยึดเจ้าผ้าอนามัยให้อยู่กับที่ แต่โชคดีที่ปีค.ศ. 1980 Kotex ผลิตผ้าอนามัยที่มีแถบกาวออกมา แบบเข็มขัดจึงหายไปโดยปริยาย
จุดกำเนิดของผ้าอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง ไม่เพียงแค่ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้หญิงเปลี่ยนไปในแง่ความสะดวกสบาย แต่ยังเปลี่ยนแปลงบทบาททางสังคมด้วยการมอบอิสระในการออกไปข้างนอกหรือทำงานได้อย่างราบรื่นในช่วงมีประจำเดือน
อย่างไรก็ดี แม้โลกกำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2020 ในอีกไม่กี่วัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าท่ามกลางสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะสามารถใช้เงินซื้อผ้าอนามัยมาสวมใส่ได้ บ้างยังต้องพึ่งทิชชู่ ถุงเท้า เศษผ้า หรือหนังสือพิมพ์ เพื่อผ่านช่วงเวลานั้นไปในแต่ละเดือน
ลำพังค่าผ้าอนามัยที่ต้องจ่ายเฉลี่ย 400 บาทต่อเดือน ก็นับว่าเป็นจำนวนที่มากสำหรับผู้หญิงบางคน นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ เช่น บรา ยาแก้ปวดท้องเมนส์ หรือกระทั่งการตรวจภายใน ที่สะท้อนให้เห็นว่าการเป็นผู้หญิงนั้นไม่ง่ายเลย
แต่ในเมื่อ ‘ประจำเดือน’ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและผู้หญิงก็ไม่อาจเลี่ยงได้ จึงนำไปสู่การตั้งคำถามว่า แล้วทำไมผู้หญิงถึงต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการซื้อผ้าอนามัยทุก ๆ เดือน? หรือจริงๆ แล้วผ้าอนามัยควรเป็นสวัสดิการรัฐกันแน่?
อ้างอิง