Saltburn (2023) คนวิปริต ชนชั้นวิปลาส
Saltburn หนังวิพากษ์ความไฮโซอันไร้แก่นสาร ผ่านตัวละครที่ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชไปในคราวเดียวกัน
แอบคิดเล่นๆ ว่า หากผู้กำกับ ‘เอเมอรัลด์ เฟนเนลล์’ (Emerald Fennell) เป็นพระเจ้า เธอคงกำลังปรุงแต่งโลกในหนังของเธอ ให้มันเต็มไปด้วยความตลกร้าย ด้วยการสร้างตัวละครชวนฝัน ก่อนจะตบคนดูให้หน้าหันด้วยการทำให้มันเป็นฝันร้ายอันน่าเวทนา นำเสนอสถานการณ์ที่สุดพลิกผันเกินจะคาดเดา และสาดสีสันแห่งป๊อปคัลเจอร์อันสนุกสนาน ให้เป็นเส้นคู่ขนานกับความตึงเครียด สรุปง่ายๆ ว่า โลกในหนังของเธอนั้นช่างบิดเบี้ยวและไม่สมประดีขั้นรุนแรง
จากผลงานสร้างชื่อเรื่องแรกที่พาไปสำรวจการแก้แค้นให้กับเพื่อนสาว ด้วยการสร้างโลกสุดฉาวและแสนโสมมที่กวาดคำชมอย่างอื้ออึงใน ‘Promising Young Woman’ เธอสานต่อด้วยการทำหนังวิพากษ์ความไฮโซอันไร้แก่นสาร ผ่านตัวละครที่ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชไปในคราวเดียวกัน ใน ‘Saltburn’ นั่นเอง
เรื่องย่อ ‘Saltburn’
หนังเล่าเรื่องราวของ Oliver Quick (รับบทโดย Barry Keoghan) หนุ่มเนิร์ดเรียนดีที่สังคมในมหาวิทยาลัยไม่ยอมรับ และมีเพียงเพื่อนเนิร์ดด้วยกันเท่านั้นที่ยอมคบหาสมาคมด้วย กระทั่งเขาได้พบกับ Felix (รับบทโดย Jacob Elordi) หนุ่มฮอตที่เปลี่ยนโอลิเวอร์ไปตลอดกาล ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมกับการได้ไปปาร์ตี้ รวมไปถึงการพาเขาไปพบโลกของนักเรียนฮอตที่แตกต่างกับตัวตนของเขาราวฟ้ากับเหว ทำให้โอลิเวอร์เริ่มคิดกับเฟลิกซ์มากกว่าเพื่อน
อ่านเรื่องย่อบรรทัดข้างบน คุณอาจจะคิดไปถึงพล็อตหนังหรือซีรีส์แนว Boy Love ที่เล่าความต่างของพระเอกและนายเอก ที่มักจะเห็นทั่วไป แต่เรื่องมันก็พลิกผันไปอีกตลบเมื่อเฟลิกซ์ชวนโอลิเวอร์ไปบ้านของเขา ซึ่งเรียกว่า ‘บ้าน’ อาจจะเป็นการดูถูกจนเกินไป เพราะสิ่งที่น่าตกใจก็คือเฟลิกซ์อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตโอฬาร ที่รวยขนาดทำสวนเขาวงกตได้ แต่สิ่งที่ชวนพิศวงงวยงงไปมากกว่าคือครอบครัวของเขา ที่เต็มไปด้วยความบ้าบอไร้ซึ่งแก่นสาร วันๆ ของพวกเขาหมดไปกับการนั่งอาบแดดริมบึง ตั้งคำถามเชิงปรัชญาโง่ๆ และวันๆ คิดแต่ว่าจะจัดปาร์ตี้ธีมอะไรดี
และหากองก์ที่สอง ยังชวนให้เกาหัวไม่เพียงพอ หนังก็ไม่รีรอที่จะหักพวงมาลัยเลี้ยวจนหัวทิ่มเมื่อมีการตายของใครบางคนในบ้าน ที่ยิ่งนำมาซึ่งความเหวอและทำให้หนังเรื่องนี้ไปไกลเกินกว่าคำว่าหนัง Boy Love ในช่วงต้น
หากแกะสูตรของหนัง อันที่จริงแล้ว Saltburn ก็มีรูปแบบไม่ต่างจากหนังเรื่องแรกของเฟนเนลล์ กล่าวคือ มันคือการเผชิญชะตากรรมของตัวละครตัวหนึ่ง ที่พาเราไปสำรวจความโสมมของของสังคมอันฟอนเฟะ จากเรื่องที่แล้วคือการเดินหน้าไปสำรวจความชายแท้ของกลุ่มคนที่ข่มขืนเพื่อนของเธอจนหมดอนาคต ครั้งนี้เธอได้โยนชะตากรรมให้กับหนุ่มเนิร์ดชนชั้นกลางที่ต้องไปอยู่ร่วมสังคมกับชนชั้นสูง ซึ่งตามหนังสูตรทั่วๆ ไป ตัวละครที่แบกรับชะตากรรมมักจะทำตัวในขั้วตรงกันข้าม เอาความขาวมาสู้กับความดำ เอาความดีมาชนะความชั่ว แต่ตัวละครในโลกของเฟนเนลล์กลับทำตัวคนละขั้ว ‘หากมึงชั่วก็จะชั่วกว่า’ ‘ถ้ามึงบ้ากูจะบ้ากว่าเป็นร้อยเท่า’ ซึ่งในเรื่องนี้ ผู้ต้องหาและเหยื่อคงหนีไม่พ้นกลุ่มชนชั้นสูง ที่ทั้งน่าเห็นใจและน่าหมั่นไส้ในคราวเดียวกัน
คนที่น่าลุกขึ้นยืนปรบมือให้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นการแสดงในแบบ ‘เปลือยทุกมิติ’ ของ แบร์รี คีโอกัน (Barry Keoghan) ที่ทั้งเล่นทั้งเลีย และสร้างซีนที่น่าจดจำมากมายให้กับหนังเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ตัวคีโอกันในช่วงหลังๆ มักผูกขาดบทมนุษย์จิตๆ มาโดยตลอด แต่ก็เหมือนว่ายังมีพื้นที่ว่างให้เขาไปสำรวจความบ้าคลั่งได้อยู่เสมอ และบทบาทนี้ก็น่าจะทำให้นักดูหนังต่างลืมไม่ลงอย่างแน่นอน
Saltburn จึงไม่เพียงแค่หนังวิพากษ์สังคมชนชั้นสูงธรรมดาๆ แต่ยังชี้หน้าด่าคนเหล่านี้ว่าดัดจริตแถมสมองกลวง ได้อย่างเจ็บแสบอีกด้วย
รับชม Saltburn ได้ทาง Prime Video