รู้ไหม หลายประเทศในโลก ‘เปลี่ยนแปลงการปกครอง’ โดยสันติด้วยการทำประชามติ ไม่ต้องมีปฏิวัติ
เวลาพูดถึง ‘การเปลี่ยนแปลงการปกครอง’ หลายคนอาจ “ตาลุก” ราวกับเป็นเรื่อง “ต้องห้าม” พูดคุยกันไม่ได้
และนี่ก็เป็นเหตุผลให้ประเด็นเหล่านี้ไม่สามารถเป็นบทสนทนาที่อารยชนในประเทศเราพูดคุยกันได้
ทำไมเราถึงคิดแบบนี้?
ส่วนหนึ่งเพราะเรามีความเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสิ่ง “ต้องห้าม” และถ้าใครคิดจะทำ ก็ต้องใช้ความรุนแรงเท่านั้น
และเราก็คงจะมี “ภาพจำ” ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองคือการปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติในอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย หรือจีน
แต่ความเป็นจริง ในโลกนี้ ‘การเปลี่ยนแปลงการปกครอง’ ไม่จำเป็นต้องรุนแรงด้วยการปฏิวัติเสมอไป เพราะหลายประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อใดๆ แต่เปลี่ยนโดยการ ‘ลงประชามติ’ ตามวิถีประชาธิปไตยเท่านั้น
พูดให้ชัดขึ้น การยกเลิกสถาบันกษัตริย์ และมีประธานาธิบดี สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเลย หากทุกคนในประเทศยอมรับว่า ‘กติกาพื้นฐาน’ ในการอยู่ร่วมกันคือ ‘ประชาธิปไตย’ ขัดแย้งอะไรก็โหวตกัน เสียงฝั่งไหนมากก็ชนะ
นี่คือเรื่อง “ปกติ” ที่เกิดขึ้นในโลก ที่คนทั่วไปไม่รู้เท่าไร เพราะไม่ได้อยู่ในแบบเรียน
1.
ประเทศที่เคยผ่านประชามติว่า ประเทศควรจะเป็นระบอบกษัตริย์หรือสาธารณรัฐนั้นมี 24 ประเทศ
ได้แก่ อัลบาเนีย ออสเตรเลีย เบลเยียม บราซิล บัลกาเรีย เดนมาร์ก แกมเบีย กรีซ ไอซ์แลนด์ อิหร่าน อิตาลี ลักเซมเบิร์ก มัลดีฟส์ เม็กซิโก นอร์เวย์ โรดีเซีย โรมาเนีย รวันดา ราชอาณาจักรสิกขิม แอฟริกาใต้ สเปน เวียดนาม ตูวาลู และเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
แน่นอนว่าไม่ใช่น้อย และแต่ละประเทศก็มีบริบทที่ต่างกันไป
เรื่องต้องเน้นคือการทำประชามติเหล่านี้ ไม่ใช่มีแค่เพื่อการยกเลิกระบบกษัตริย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำประชามติเพื่อนำระบบกษัตริย์กลับมาอีกครั้ง หลังประเทศเป็นสาธารณรัฐไปแล้ว ‘ไม่เวิร์ค’ อีกด้วย
2.
ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศส่วนใหญ่ที่ ‘ทำประชามติเปลี่ยนแปลงการปกครอง’ มักจะทำกันรอบเดียว คือตอนที่จะยกเลิกระบอบกษัตริย์ (เนื่องจากไม่มีวิธีอื่นแล้วที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขนาดนี้โดยชอบธรรม)
แต่บางประเทศ ก็มีการทำประชามติยกเลิกกษัตริย์ แล้วก็ทำประชามติใหม่เอากษัตริย์กลับมา แล้วก็ทำประชามติใหม่ยกเลิกกษัตริย์อีก ฯลฯ ซึ่งประเทศที่มีประชามติแบบนี้บ่อยที่สุดในโลกคือ ‘กรีซ’ ที่เคยมีประวัติให้ประชาชน “เลือกระบอบการปกครอง” ด้วยตัวเองถึง 7 รอบ (สมแล้วที่เป็นประเทศต้นแบบ ‘ประชาธิปไตย’)
3.
เรื่องนี้มีรายละเอียดสนุกๆ ไม่น้อย เช่น นอร์เวย์ ตอนเป็นเอกราชในปี 1905 ก็ไม่มีกษัตริย์ แต่รัฐบาลก็ให้ประชาชนโหวตว่าจะเป็น ‘สาธารณรัฐ’ หรือจะเป็น ‘ราชอาณาจักร’ ผลก็คือประชาชนโหวตอย่างล้นหลามว่าต้องการกษัตริย์ (คนเกือบ 80% โหวตต้องการกษัตริย์) รัฐบาลก็เลยอัญเชิญเจ้าชายจากเดนมาร์กมาเป็นกษัตริย์ (สมัยก่อนนอร์เวย์เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์ก) และนอร์เวย์ก็มีกษัตริย์มาจนถึงทุกวันนี้
หรือจะเป็น อิตาลี ซึ่งมีการทำประชามติหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อประชาชนไม่พอใจกษัตริย์มากๆ หลังจากกษัตริย์มีส่วนสำคัญทำให้อิตาลีกลายเป็นประเทศเผด็จการฟาสซิสต์และต้องอัปยศจากการเป็นผู้ร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลสุดท้าย คนสนับสนุนสาธารณรัฐถึง 55% ระบอบกษัตริย์เลยยุติลง
จุดที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ ผลโหวตแทบจะแบ่งอิตาลีเป็นเหนือกับใต้เลย เพราะ “คนเหนือ” คือกลุ่มที่ต้องการสาธารณรัฐ ส่วน “คนใต้” คือพวกต้องการกษัตริย์ แต่ผลก็คือทั้งสองฝั่งก็ยอมรับผลประชามติรวมกันว่าต่อแต่นี้ประเทศจะเป็นสาธารณรัฐ โดยไม่ต้องแยกประเทศแต่อย่างใด หรือจะเป็น ออสเตรเลีย ที่เพิ่งประชามติไปในปี 1999 และฝ่ายที่ต้องการยกเลิกกษัตริย์ก็พ่ายแพ้ ซึ่งพอดูผลก็จะแทบจะเห็นเลยว่าคนส่วนใหญ่ที่ต้องการจะเป็นสาธารณรัฐและมีประธานาธิบดีจะมีแต่พวกที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ แต่พวกเมืองเล็กๆ รอบนอกทั้งหมด คนส่วนใหญ่ต้องการให้ประมุขของประเทศยังเป็นกษัตริย์ (ซึ่งก็คือพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ของอังกฤษ)
4.
จากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์แทบจะไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องกลัวการ ‘ทำประชามติ’ เพราะในโลกนี้การทำประชามติแล้วประชาชนพร้อมใจกันเลือกระบอบกษัตริย์และสร้างความมั่นคงชอบธรรมให้ระบอบกษัตริย์นั้นก็มีไม่น้อย
ทั้งนี้ กระบวนการทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่าระบอบกษัตริย์และประชาธิปไตยนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเหมือนที่หลายๆ ฝ่ายวาดเอาไว้
สุดท้าย การที่จะทำให้ระบอบกษัตริย์มีความชอบธรรมอย่างถึงที่สุดภายใต้ระบอบ ‘ประชาธิปไตย’ ก็คือการ ‘ทำประชามติ’ นั่นเอง
อ้างอิง:
- Wikipedia. List of monarchy referendums. https://bit.ly/3gEoTyp