4 Min

ถ้ามัวแต่เสียใจ เมื่อไหร่จะได้แก้แค้น? ความฮิตของซีรีส์ทวงความเป็นธรรม สะท้อนภาพกระบวนการยุติธรรมที่อ่อนแอ

4 Min
869 Views
19 Jan 2023

อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ

ซีรีส์เกาหลีใต้ที่พูดถึงการทวงแค้นของเด็กสาวที่เคยถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน ติด Top 10 แพลตฟอร์มออนไลน์ต้นเดือนมกราคม 2023 และกลายเป็นกระแสถกเถียงร้อนแรงต่อเนื่องในสื่อโซเชียลไทย แต่ถ้าย้อนดูกันจริงๆ นี่ไม่ใช่ซีรีส์เรื่องแรกที่พูดถึงการล้างแค้นหรือเอาคืนของคนที่เคยเป็นเหยื่อ จนมีคำถามว่านี่คือภาพสะท้อนความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมในหลายๆ สังคมหรือไม่


ความเหมือนกันอย่างหนึ่งของพล็อตในซีรีส์เกาหลีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องล่าสุดอย่าง The Glory หรือเรื่องก่อนหน้านี้อย่าง Vincenzo, Taxi Driver (รวมถึง Squid Game ด้วยก็ได้) ล้วนเกี่ยวพันกับการเอาคืน หรือไม่ก็การชำระความแค้นของคนที่เคยเป็นเหยื่อหรือตกเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน

เสียงตอบรับของซีรีส์ฮิตเรื่องล่าสุดนำไปสู่ความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมในสื่อโซเชียลของไทย ซึ่งมีการขุดคุ้ยอดีตโดยพาดพิงนักแสดงและนักร้องรุ่นใหม่บางคนว่าเคยกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมโรงเรียนมาก่อน

ท่าทีของคนที่ถูกพาดพิงคือการขอโทษ และพูดคล้ายๆ กันว่าเรื่องในอดีตคือความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจและผู้ใช้สื่อโซเชียลก็มีความเห็นแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย ส่วนหนึ่งยังให้กำลังใจคนที่เคยเป็นผู้กระทำโดยมองว่าคนเราเคยทำผิดพลาดกันได้ คนที่สำนึกผิดหรือขอโทษแล้วจึงควรได้รับการอภัย และบอกด้วยว่าการออกมาขอโทษ (หลังถูกเปิดเผยข้อมูล) คือความกล้าหาญอย่างหนึ่ง

แต่คนอีกส่วนเห็นต่างโดยมองว่าแฟนคลับไม่ควรสนับสนุนหรือแก้ต่างให้คนดังที่เคยทำผิด เพราะคนกลุ่มนี้มีสถานะทางสังคมเหนือกว่าคนที่เคยถูกกระทำ และควรเรียกร้องความรับผิดชอบหรือการเยียวยาที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนกว่านี้ เพราะคนที่จะบอกได้ว่าให้อภัยก็มีแค่คู่กรณีเท่านั้น

ขณะที่คนอีกกลุ่มเปรียบเทียบเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมกับซีรีส์ทวงแค้น จึงสนับสนุนการแขวนประจานคนดังในสื่อโซเชียลเพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้คนที่เคยถูกกระทำ และมองว่ากระบวนการยุติธรรมไม่อาจมอบความเป็นธรรมได้ ซึ่งก็ถูกโต้แย้งกลับเช่นกันว่าคนที่สนับสนุนเรื่องแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เคยแกล้งคนอื่น

ที่จริงเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นร่วมในหลายประเทศ เพราะรายงานล่าสุดของ UNESCO ที่เผยแพร่เมื่อปี 2019 สำรวจข้อมูลระหว่างปี 2005-2018 พบว่าสถิติการกลั่นแกล้งในโรงเรียน (ซึ่งผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยเปราะบางและมักจะตัดสินใจในสิ่งที่เป็นการทำร้ายตัวเอง) ไม่ได้ลดลงเลยในหลายประเทศ จึงอาจเป็นภาพสะท้อนว่าการป้องกันหรือลงโทษผู้ก่อเหตุเหล่านี้ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

การกลั่นแกล้งคนอื่นเกิดจากอะไรบ้าง?

ข้อมูลของ UNESCO ระบุว่า การกลั่นแกล้งมีหลายรูปแบบ ทั้งการใช้ความรุนแรงทางกายภาพ ไปจนถึงการใช้คำพูดเสียดสีทำร้ายจิตใจ และการคุกคามกลั่นแกล้งออนไลน์ (cyberbullying) ซึ่งถือว่าร้ายแรงไม่ต่างกัน เพราะการเผยแพร่ภาพ คลิปวิดีโอ หรือข้อความด่าทอในสื่อออนไลน์สามารถแพร่กระจายในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว และแทบจะไม่มีทางลบข้อมูลให้หายไปจากแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหลายได้อย่างหมดจด เพราะมักจะมีร่องรอยให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำกลับมาแชร์ต่ออยู่เรื่อยๆ

ขณะที่เว็บไซต์ Ditch the Label รายงานอ้างอิงผลสำรวจความเห็นประชากรวัยรุ่นในอเมริกันกว่า 7,000 คนในปี 2022 พบว่าเกือบครึ่งระบุว่า ตัวเองเคยแกล้งคนอื่น หรือไม่ก็เคยถูกคนอื่นแกล้ง

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือผลประเมินคำตอบของผู้ที่บอกว่าตัวเองเคยแกล้งคนอื่น บ่งชี้ว่าคนกลุ่มนี้เติบโตมาในครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมที่เน้นเรื่องการใช้อำนาจ ซึ่งมักจะนำไปสู่การใช้กำลังหรือความรุนแรงกับคนอื่นๆ และบางส่วนเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน จึงมองว่าถ้าไม่แกล้งคนอื่น ตัวเองก็จะถูกแกล้งเสียเอง ขณะที่บางส่วนมีความพึงพอใจในตัวเองต่ำ (low self esteem) จึงพยายามปกปิดปมในใจด้วยการแสดงท่าทีที่เหนือกว่าคนรอบตัว และมักจะพุ่งเป้าคนที่อ่อนแอกว่าตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเด็กที่กลั่นแกล้งคนอื่นๆ จะต้องถูกลงโทษเพราะการกระทำของตัวเองแล้ว พวกเขายังควรจะได้รับการเยียวยาหรือแก้ไขพฤติกรรมที่นำไปสู่ความผิดพลาดด้วยเช่นกัน

หลายเรื่องต้องแก้ไขไม่ใช่แก้แค้น

การปล่อยให้คนที่ถูกกระทำลุกขึ้นมาตอบโต้ด้วยตัวเองไม่ใช่กลไกที่ยั่งยืนที่จะป้องกันไม่ให้มีการกลั่นแกล้งในสังคมเพิ่มขึ้น และสิ่งที่ต้องปรับแก้เป็นอันดับแรกก็คือค่านิยมของคนส่วนใหญ่ซึ่งองค์กรสิทธิเด็กและนักจิตวิทยาต่างมองว่าเป็นสิ่งที่หล่อหลอมวิธีคิดและพฤติกรรมที่นำไปสู่การกลั่นแกล้งคนอื่นได้

ค่านิยมที่ควรล้มล้างก็ได้แก่ การมองว่าเด็กๆ ทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ ไม่ควรถือสาหรือทำเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะจริงๆ แล้วการทะเลาะหรือกลั่นแกล้งมีเกณฑ์ความหนักเบาที่สามารถชี้วัดได้ และไม่ควรจะส่งเสริมแนวคิดเรื่องอ่อนแอก็แพ้ไปเพราะเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน และควรจะได้รับความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งโรงเรียนและผู้ปกครองก็ไม่ควรปกปิดเรื่องการกลั่นแกล้งด้วยเหตุผลว่ากลัวเสียหน้าหรือเสียชื่อเสียง เพราะสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นหลักคือสภาพจิตใจและความปลอดภัยของผู้ถูกแกล้ง

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพราะผู้ก่อเหตุอาจมีสถานะหรืออภิสิทธิ์เหนือกว่าผู้ถูกกระทำ ฝ่ายหลังจึงมักจะถูกเกลี้ยกล่อมให้ยินยอมไม่เอาเรื่องเอาราว กลไกการรายงานเหตุล่วงละเมิดหรือกลั่นแกล้งจึงต้องปรับแก้ให้ทำได้ง่ายขึ้น และต้องหาทางคุ้มครองผู้ร้องเรียนไม่ให้ถูกกลั่นแกล้งหนักกว่าเดิมด้วย

ส่วนคนที่เป็นฝ่ายแกล้งคนอื่นก็ต้องได้รับการบำบัด เพื่อหาเหตุผลว่าอะไรเป็นแรงขับเคลื่อนจนเกิดเป็นพฤติกรรมเช่นนี้ และต้องปรับทัศนคติไม่ให้ทำเรื่องแบบนี้ซ้ำ จึงต้องทำให้คนกลุ่มนี้ตระหนักให้ได้ว่า สิ่งที่ตัวเองทำมีผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร และการกลั่นแกล้งคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้

บางประเทศที่ใส่ใจปัญหานี้จึงพยายามย้ำอยู่เสมอว่า คนที่จะต้องสอดส่องดูแลเรื่องนี้ต้องไม่ใช่แค่ครูหรือผู้ปกครอง แต่ต้องรวมถึงคนทั่วไปที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งควรจะรายงานหรือแจ้งเรื่องแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบให้ดำเนินการต่อ และกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะต้องไม่ซ้ำเติมผู้ถูกกระทำ

ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงจะมีคนมาทวงแค้นกันไม่จบสิ้น

อ้างอิง