ในสหรัฐฯ กำลังมีกฎหมายให้เหล่านายจ้างต้อง ‘บอกเงินเดือน’ ตอนประกาศรับสมัครงาน
หลายๆ คนอาจโตมาในยุคที่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘มารยาทสังคม’ และกฎห้ามถาม ‘เงินเดือน’ กัน ซึ่งเอาจริงๆ เราก็จะรู้แค่เงินเดือนของคนใกล้ตัวหรือคนสนิทกันมากๆ เท่านั้น
แต่ในยุคนี้ หลายคนคงได้ยินว่าคนเริ่ม ‘ถามเงินเดือน’ กันมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในกระแสความพยายาม ‘ลดความเหลื่อมล้ำ’ ที่แพร่มาตั้งแต่คน Gen Y และหนักขึ้นใน Gen Z
ว่าแต่ทำไมเราถึงรู้เงินเดือนคนอื่นไม่ได้ล่ะ?
เอาจริงๆ แล้วแนวคิดเรื่องการห้ามบอกเงินเดือนกัน เกิดจากความพยายามของหลายบริษัทในการให้เงินเดือนพนักงานต่างๆ กันเพื่อผลกำไรที่มากที่สุดของบริษัท และไม่มีกฎหมายคุ้มครองการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องเงินเดือนของพนักงานด้วย บางบริษัทก็เขียนลงไปในสัญญาเลยว่า ห้ามพูดคุยเรื่องเงินเดือนกับเพื่อนพนักงาน
ซึ่งเมื่อเราไม่คุย เราก็ไม่มีทางรู้ว่าบริษัทจ่ายเราน้อย และเราก็ไม่โวยวาย ยอมรับค่าแรงน้อยๆ นั้นไป
อะไรพวกนี้เป็นผลอย่างหนึ่งของการลด ‘สิทธิแรงงาน’ ในช่วงทศวรรษ 1980 ที่มาพร้อมกับการไล่ถล่มพวกสารพัดสหภาพแรงงานในทุกระดับในโลกตะวันตก ซึ่งพอสหภาพแรงงานอ่อนกำลังลงไป พวกบริษัทก็กดค่าแรงกันสนุกเลย และก็มีงานวิจัยมามากมายว่าตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา ‘ค่าแรงจริง’ ของแรงงานในภาพรวมมันแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่ผลกำไรของบริษัทต่างๆ มีแต่จะมากขึ้น
แต่ถ้าจะเล่าย้อนไปถึงตรงนั้นก็คงจะไกลไป ประเด็นคือ ทุกวันนี้ เราอยู่ในสภาพการจ้างงานที่ในทางปฏิบัติเราไม่มีสิทธิ์รู้ว่าเราได้มากน้อยกว่าคนอื่น
แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป… อย่างน้อยๆ ก็ในสหรัฐอเมริกานี่แหละ
ในอเมริกา แม้ว่ารัฐบาลกลางจะยังไม่ขยับอะไร แต่กระแสกฎหมายอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ณ ปี 2022 ในหลายต่อหลายรัฐก็คือ กฎหมายจำพวกให้นายจ้างเปิดเผย ‘ค่าจ้าง’ ตอนประกาศรับสมัครงาน ห้ามนายจ้างถาม ‘ค่าแรงของที่เก่า’ เมื่อคนมาสมัครงาน รวมไปจนถึงประกาศว่าลูกจ้างมีสิทธิ์ในการพูดคุยเรื่องค่าแรงกันโดยนายจ้างห้ามลงโทษใดๆ
ในทางหลักการ อะไรพวกนี้จะช่วยปรับให้นายจ้างไม่สามารถ ‘ลักไก่’ ไปจ้างพนักงานใหม่โดยกดค่าจ้างต่ำๆ ได้ และพร้อมกันนั้นก็เป็นหลักประกันว่า คนที่ทำงานอยู่แล้วจะได้รับรู้ ‘ราคาตลาด’ ของงานที่ตัวเองทำอยู่ด้วยว่าถ้าจะไปสมัครที่อื่นเขาจะให้เท่าไร
ในอเมริกาเขาทำแบบนี้เพราะมันมีปัญหาเรื่องการให้ค่าจ้างผู้หญิงและคนที่ไม่ใช่คนขาว ‘ต่ำกว่า’ ผู้ชายคนขาว ซึ่งปัญหาพวกนี้ก็ใหญ่จริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่ทำกันมาเป็นกระบวนการและเป็นระบบ และตัวเลขจำนวนมากก็บ่งชี้ว่า ‘ช่องว่างค่าจ้าง’ ทั้งระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ไปจนถึงคนขาวและคนผิวสีอื่นในอเมริกานั้นก็กว้างกว่าประเทศพัฒนาแล้วชาติอื่นเยอะพอควร (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับยุโรป)
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยู่อีกซีกโลกอย่างเรา คือ กระแส ‘เปิดเผยค่าจ้าง’ ของอเมริกามันน่าจะสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลกได้ ตามสไตล์ ‘มาตรฐานอเมริกัน’ หรือพูดง่ายๆ คือถ้าคนทั่วโลกเห็นว่าอเมริกาทำได้ คนอเมริกันมีสิทธิ์นั้นได้ ตนก็ควรจะมีสิทธิ์ด้วย การเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีมาก่อนก็จะเริ่มขึ้น ซึ่งอะไรพวกนี้มันไปเร็วมากในยุคที่อินเทอร์เน็ตเชื่อมผู้คนเข้าถึงกัน
แต่สำหรับคนทำงาน เรื่องค่าแรงเท่าเทียมก็คงจะเข้าใจว่านี่น่าจะเป็นแค่ ‘ก้าวเล็กๆ’ เท่านั้น เพราะจริงๆ บริษัทจำนวนมากนั้นก็ ‘เปิดเผยค่าแรง’ อยู่แล้วสำหรับตำแหน่งระดับล่างๆ แต่พวกตำแหน่งระดับบนๆ ขึ้นมาที่เขาใช้ ‘เฮดฮันเตอร์’ ล่าตัวหาคนมาทำงาน มักจะไม่เปิดเผยค่าแรง และกฎหมายที่ว่ามาทั้งหมดก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วย และการปิดค่าแรงตำแหน่งบนๆ นี่ก็น่าจะเป็นประเด็นพอควร เพราะธีมเรื่อง ‘ความเท่าเทียมค่าแรง’ ที่มีมาตลอด 10 กว่าปีนี้ คือการตั้งคำถามถึงการขยายตัวของรายได้ของคนระดับ ‘ผู้บริหาร’ ที่เพิ่มขึ้นแบบหลุดโลกมากๆ ถ้าเทียบกับพนักงานระดับล่าง
ดังนั้นมันยังมีงานต้องทำอีกเยอะกว่าโลกจะไปถึงจุดที่ค่าจ้างมีความเป็นธรรม
อ้างอิง
- Vox. Companies are being forced to reveal what a job pays. It’s a start. https://bit.ly/3z1tvc1
- Our World in Data. Economic inequality by gender. https://bit.ly/2KyU0dO