ทำไมคนใช้คำนี้แทน Rest in Peace

3 Min
1618 Views
11 Apr 2021

โลกนี้ไม่ยุติธรรม นี่คงเป็นสิ่งที่หลายคนรู้แล้ว และตอนนี้คนหนุ่มสาวก็ลุกขึ้นต่อสู้ทั่วโลกกับความอยุติธรรม และไม่น้อยต่างล้มตาย

ซึ่งเวลามีข่าวคนตาย หลังๆ เราจะเริ่มเห็นคำที่ใช้ไว้อาลัยคำหนึ่งที่ฮิตกัน คำคำนั้นคือ Rest In Power

และล่าสุดนี้ ถ้าใครตามโพสต์ไว้อาลัยผู้เสียชีวิตในการประท้วงที่พม่า ก็อาจจะเห็นคำนี้แวบๆ ซึ่งก็คงจะงงว่า คำคำนี้มาจากไหน แล้วทำไมคนไม่ใช้ Rest In Peace ตามปกติ

อันที่จริง คำคำนี้มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟัง…

จากกราฟฟิตี้สู่ #BlackLivesMatter

เท่าที่มีบันทึก คำว่า Rest In Power ถูกใช้ครั้งแรกในปี 2000 หลังการตายของ Mike “Dream” Francisco ชายเชื้อสายละตินอเมริกัน นักพ่นกราฟฟิตี้ระดับตำนานของเมืองโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง Francisco นั้นตายเพราะไปปล้นบ้านคนและโดนยิงตาย เรียกได้ว่า Thug Life แท้ๆ

Mike “Dream” Francisco และกราฟฟิตีของเขา

Mike “Dream” Francisco และกราฟฟิตีของเขา | KQED

คนที่เริ่มใช้คนแรกเป็นคนนิรนามที่เขียนไว้อาลัย Francisco บนเว็บบอร์ด และลงท้ายเอาไว้ว่า “Rest in Power”

ซึ่งหลังจากนั้นก็สันนิษฐานว่ามันกลายเป็นคำที่ใช้กันใน “วงการกราฟฟิตี้” แถบโอคแลนด์เวลาที่มีใครตายก่อนวัยอันควร ก่อนจะแพร่หลายไปที่อื่นๆ

ในปี 2005 สาวคนดำอเมริกันอายุ 19 ปีนาม Meleia Willis-Starbuck ถูกยิงตายหน้าอพาร์ตเมนต์ของเธอที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งก็เป็นคดีใหญ่ในตอนนั้นที่สังคมสนใจ และตอนนั้นเองก็มีคนไปพ่น “Rest In Power” เพื่อไว้อาลัยเธอ นี่เลยเป็นหลักฐานว่าคำว่า Rest In Power ได้แพร่ออกมานอกโอคแลนด์แล้ว และก็คงจะแพร่ผ่านเครือข่ายกราฟฟิตี้นั่นเอง

Meleia Willis-Starbuck

Meleia Willis-Starbuck | SFGate

แต่ที่อยากให้สังเกตก็คือ ทั้ง Francisco และ Willis-Starbuck ล้วนไม่ได้ตายเพราะอำนาจรัฐ รายแรกตายเพราะเจ้าของบ้านที่เขาไปปล้นยิง รายที่สองตายเพราะเพื่อนคนดำของเธอยิง

และนัยยะของ Rest In Power ในตอนนี้ก็มีแค่ “ไม่ควรจะตายก่อนวัยอันควรเลย”
แล้วมันมาโยงกับการตายอย่างอยุติธรรมได้อย่างไร?

ง่ายๆ ก็คือ คำว่า Rest In Power ก็แพร่ไปเรื่อยๆ จนในปี 2014 ขบวนการ #BlackLivesMatter ก็ปะทุขึ้นกับการตายของชายคนดำอเมริกันอย่าง Michael Brown ด้วยน้ำมือของตำรวจคนขาวอเมริกัน

การไว้อาลัย Michael Brown

การไว้อาลัย Michael Brown | The Guardian

และนี่คือ “จุดเปลี่ยน” จริงๆ ของ Rest In Power เพราะการถูกเอามาใช้แพร่หลายในกรณี Michael Brown ซึ่งมันถูกใช้ไม่ใช่แค่บนกำแพงแล้ว แต่ถูกใช้ในโลกออนไลน์เต็มไปหมด ตรงนี้มันเป็นการเพิ่มความหมายจาก “ตายก่อนวัยอันควร” ไปเป็น “ตายอย่างไม่ยุติธรรม” ด้วย

ซึ่งนัยยะก็คือ ความตายไม่ใช่จุดจบ ผู้ตายไม่ได้สงบ และผู้ที่เหลืออยู่จะต้องสู้เพื่อให้ได้ความยุติธรรมมา ผู้ตายถึงจะสงบ และทั้งหมดนี้ก็คือสปิริตของขบวนการ #BlackLivesMatter นั่นเอง

จาก #BlackLivesMatter สู่โลกกว้าง

โลกนี้รู้จัก Rest In Power จากขบวนการ #BlackLivesMatter แน่นอน แต่นัยยะที่ถูกเอามาใช้ต่อๆ มาไม่ต้องเหมือนนัยยะเริ่มต้นของมันไม่ได้ต่างจากคำอื่นๆ ซึ่งในอเมริกา

เราต้องเข้าใจว่าในปี 2017-2021 ตอนที่ Donald Trump เป็นประธานาธิบดี ความขัดแย้งในสังคมสูงมาก ซึ่งฝั่งหนึ่งคือพวกหัวสมัยใหม่ที่ประกอบไปด้วยอัตลักษณ์ที่หลากหลายมีความเป็น “เสรีนิยม” และอีกฝั่งพวกหัวสมัยเก่าที่มักจะเป็นคนขาว “อนุรักษนิยม” ซึ่งพวกหลังมักจะมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งก็คือความเป็น “คนคริสต์เคร่งศาสนา” เรียกได้ว่า เห็นใครเป็นคนคริสต์เคร่งศาสนาในอเมริกาให้เดาไว้ก่อนเลยว่าเป็น “ผู้สนับสนุน Trump”

ซึ่งในบริบทนี้ คำว่า Rest In Peace ที่ใช้กันมาในวัฒนธรรมคริสเตียนเป็นพันปี ฟังดู “คริสเตียน” ไปสำหรับคนอเมริกันหัวสมัยใหม่จำนวนมาก และคนพวกนี้ก็พยายามจะหลีกเลี่ยงการแสดงออกอะไรคล้ายๆ “พวกเคร่งศาสนา” ที่เป็นศัตรูทางการเมืองและสิ่งหนึ่งที่พวกเขาทำก็คือ การใช้คำว่า Rest In Power แทน Rest In Peace และนี่ก็เป็นการกลับมาใช้คำว่า Rest In Power โดยปราศจากนัยยะเดิมๆ อีก

ตัวอย่างชัดๆ คือตอนนักร้องนำวง Cars ตายในปี 2019 เพื่อนนักดนตรีหัวเสรีก็ Rest In Power กันใหญ่ ทั้งที่เขาคงไม่ได้ “ตายก่อนวัยอันควร” เท่าไร เพราะอายุก็ปาไป 75 ปีแล้ว และเขาก็ไม่ได้ “ตายอย่างไม่ยุติธรรม” แน่ๆ เพราะเขาตายด้วย “โรคหัวใจ”

Ric Ocasek นักร้องนำวง Cars

Ric Ocasek นักร้องนำวง Cars ผู้ล่วงลับ | Wikipedia

และในปี 2020 ตอนที่ดาราคนดำดาวรุ่งจากบท Black Panther อย่าง Chadwick Boseman ตายด้วยมะเร็งลำไส้ ทุกคนก็พร้อมใจกันใช้คำว่า Rest In Power กับเขา และเรียกได้ว่าในตอนนี้ ขนาดนิตยสารอย่าง Vanity Fair ยังใช้คำนี้เลย

และก็นี่แหละครับ ที่มาที่ไปของ Rest In Power ที่เราก็คงจะเห็นคำนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตราบที่คนในโลกยังรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมในโลก

อ้างอิง: