2 Min

เมื่อการลาออกไม่จบแค่การลาออก แต่ผู้คนเลือกทำงานที่สบายใจมากขึ้น

2 Min
340 Views
12 Jan 2022

ในภาวะความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ผู้คนกลับเลือกที่จะ ‘ลาออก’ จากที่ทำงานมากขึ้น จนเกิดเป็นปรากฏการณ์การลาออกครั้งใหญ่ (The Great Resignation) ในหลายประเทศทั่วโลก 

ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแรงงานในสหรัฐอเมริกา (US Bureau of Labor Statistics) ระบุว่า ในเดือนตุลาคมมีชาวอเมริกันลาออกกว่า 4.1 ล้านคน แม้จะน้อยกว่าเดือนกันยายนที่มีจำนวน 4.4 ล้านคน แต่นี่ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก

แต่การลาออกครั้งใหญ่ไม่จบแค่การลาออก เพราะตอนแรกมีการรายงานว่าคนที่ลาออกเลือกจะเกษียณอายุงานก่อนกำหนด หรือไม่ก็ลาออกเพื่อไปจัดการภาระหน้าที่ในครอบครัว แต่ที่จริงยังมีเหตุผลอื่น และนี่อาจเป็นการกำหนดค่าอาชีพใหม่ในอนาคต เพราะบางคนกำลังใช้ประโยชน์จากวิกฤตการจ้างงานในปัจจุบันเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งงานที่ดีขึ้น 

การโยกย้ายข้ามสายงานหลังการลาออกครั้งใหญ่ อาจเรียกว่าเป็นการสับเปลี่ยนครั้งใหญ่ (Great Reshuffle) ได้เช่นกัน เพราะมีคนตัดสินใจลาออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว และมีอีกมากที่เปลี่ยนสายงานไปสู่อุตสาหกรรมและอาชีพใหม่ๆ ที่ให้ค่าแรงที่สูงขึ้น หรือสอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขามากขึ้น 

แอนโธนี่ คลอตซ์ (Anthony Klotz) รองศาสตราจารย์ด้านการจัดการที่ Texas A & M University สหรัฐอเมริกาและผู้ริเริ่มคำว่า ‘Great Resignation’ กล่าวว่า “สำหรับคนที่มีความสามารถ ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง เช่น เทคโนโลยี เราเห็นการเคลื่อนย้ายมากมาย ผู้คนกำลังหางานที่ให้ค่าตอบแทน สวัสดิการ และการจัดการงานที่เหมาะสมในระยะยาว”

ดูเหมือนว่าแนวคิด ‘ไม่เลือกงานไม่ยากจน’ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนให้คุณค่าในยุคสมัยนี้ เพราะการ ‘เลือกงาน’ กำลังเฟื่องฟูอย่างมากในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะคนที่มีทักษะระดับสูงซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

“ตอนนี้ผู้คนสามารถเลือกทำงานให้เข้ากับชีวิตของพวกเขาได้มากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้งานบีบคั้นชีวิตของพวกเขา” คลอตซ์กล่าว 

แม้ในอดีตตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะเคยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างทางอาชีพใหม่ในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูหลังสงคราม การสูญเสียงานจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) แต่การลาออกครั้งยิ่งใหญ่ในปัจจุบันแตกต่างจากสถานการณ์เหล่านั้นมาก

เพราะในตอนนี้ผู้คนต่างมีทางเลือกในหน้าที่การงานมากขึ้นจากความสามารถที่ตนเองมี แต่ก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่มีทักษะไม่เพียงพอต่อการเลือกงานที่มีรายได้สูงได้ เกรซ ลอร์ดแดน (Grace Lordan) รองศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมศาสตร์ที่ London School of Economics กล่าว

นอกจากทักษะและความสามารถที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญต่อการเลือกงานของคนในยุคนี้คือ รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) ที่บางบริษัทอาจอนุญาตให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการทำงานระยะไกลได้ ซึ่งนายจ้างจำนวนมากกำลังปรับรูปแบบการทำงานของตนเป็นแบบไฮบริดควบคู่กับการเสนอเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้คนทำงานให้กับบริษัทต่อไปแทนการลาออกหรือย้ายงาน

อย่างไรก็ตาม การสับเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่นี้ทำให้ผู้คนรู้ความต้องการของตัวเองมากขึ้น สามารถเลือกงานที่สบายใจ อยู่แล้วมีความสุข และตรงตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งนี่อาจหมายถึงชีวิตการทำงานที่ดีขึ้นและเติมเต็มมากขึ้นสำหรับผู้คนนับล้าน 

อ้างอิง