รู้หรือไม่? มนุษย์รู้จักวิธีระงับกลิ่นกายตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จากการอาบน้ำหอม ถูตัวด้วยหัวแคร์รอต และใช้ควันธูปลนรักแร้ สู่การใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายในปัจจุบัน

4 Min
812 Views
08 Feb 2024

‘กลิ่นตัว’ ถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่อยู่คู่มนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยที่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำและยังไม่รู้จักวิธีระงับกลิ่นกาย แต่กลับมองว่ายิ่งมีกลิ่นตัวแรงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสรอดพ้นจากการถูกล่ามากขึ้นเท่านั้น เพราะสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นจัดให้กลิ่นตัวมนุษย์เป็นกลิ่นที่น่าขยะแขยง จึงหันไปล่าสัตว์ชนิดอื่นแทน

ส่วนต้นกำเนิดการเกิดวิธีระงับกลิ่นกายเป็นครั้งแรกของโลก คาดกันว่าเกิดในสมัยอียิปต์โบราณ (Ancient Egypt) โดยเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อย่างหนังสือ ‘The Histories’ ซึ่งเป็นบันทึกของเฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ผู้ที่ได้ท่องเที่ยวไปยังเมืองต่างๆ ของโลก

ได้มีบันทึกที่ชี้ให้เห็นว่า มีการผลิตและใช้น้ำหอมกันในอารยธรรมอียิปต์โบราณ โดยมีเนื้อหาว่า ‘คนอียิปต์นำน้ำมันจากต้นละหุ่งมาใช้บำรุงผิว และนำมาเป็นน้ำมันสำหรับจุดไฟเพื่อให้มีกลิ่นหอม’

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีที่ทำให้คาดการณ์ว่า มีการใช้น้ำหอมตั้งแต่ 2,686-1,650 ปี ก่อนคริสตกาล เช่น ภาพวาดในสุสาน แสดงถึงกรรมวิธีในการผลิตน้ำหอม ในสมัยราชวงศ์ Old Kingdom และ Middle Kingdom รวมถึงมีภาพวาดขวดน้ำหอมที่ถูกถวายในสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน สมัยราชวงศ์ New Kingdom ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสมัยอียิปต์โบราณไม่ได้ใช้น้ำหอมแค่กลบกลิ่นกาย แต่มีความเชื่อเชื่อมโยงไปถึงโลกหลังความตาย โดยถวายให้แก่ผู้เสียชีวิต

รวมถึงยังมีบันทึกที่บอกว่า คนในยุคอียิปต์โบราณรู้จักการนำน้ำหอมมาผสมกับน้ำแล้วอาบ ไปจนถึงบางคนมีการใช้หัวแคร์รอตบดมาชโลมบนร่างกาย และใช้ควันธูปลนบริเวณรักแร้เพื่อกลบกลิ่นกายอีกด้วย

ต่อมาในสมัยกรีกและโรมัน (Ancient Greece and Rome) วัฒนธรรมและพิธีกรรมการอาบน้ำเข้ามามีบทบาทสำคัญทางสังคม โดยได้มีบันทึกไว้ว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 2 กองทหารโรมันสร้างโรงอาบน้ำร้อนขนาดใหญ่แห่งแรกที่ Aquae Helveticae ซึ่งเป็นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน

โดยโรงอาบน้ำนี้ไม่ใช่แค่ให้ผู้คนมาอาบน้ำหอม เพื่อชำระล้างร่างกายเหมือนในยุคอียิปต์โบราณ แต่ถือเป็นการมาอาบน้ำเพื่อเข้าสังคม พบปะกับผู้คนมากมาย รวมถึงโรงอาบน้ำยังเป็นสถานรักษาพยาบาลและกลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนา

จนทำให้เกิดโรงอาบน้ำสาธารณะในเมืองอื่นๆ ตามมา สังเกตได้จากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในยุโรปปัจจุบัน จะยังมีสถานที่สำหรับอาบน้ำหลงเหลืออยู่ด้วย

นอกจากนี้ยังเกิดธรรมเนียมเวลาใครมาเยี่ยมเยียนที่บ้าน เจ้าบ้านที่ดีจะต้อนรับด้วยการให้แขกไปอาบน้ำและแช่ตัวในน้ำมันหอมระเหยอย่างดี ซึ่งเนื้อหาของเรื่องนี้ถูกถ่ายทอดผ่านกวีชาวกรีกที่ชื่อ ‘โฮเมอร์’ (Homer) 

ไม่เพียงแต่ชาวโรมันจะนิยมอาบน้ำกันมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังหาวิธีให้ตนเองมีกลิ่นหอมติดตัวไปยาวนานยิ่งขึ้น ด้วยการนำเสื้อผ้ามาแช่ในน้ำที่ผสมน้ำหอม หรือสำหรับผู้ที่มีฐานะร่ำรวยในสมัยนั้น จะนำน้ำหอมมาประพรมให้กับตนเองและสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

แต่มาในยุคกลาง (The Middle Ages) ทางคริสตจักรได้มีบัญญัติห้ามเปลือยกายแช่ในอ่างอาบน้ำตามที่สาธารณะ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ทำให้ในยุคนั้นผู้คนหันมาใช้น้ำหอมเพื่อกลบกลิ่นกายกันมากขึ้น รวมถึงเป็นยุคเปลี่ยนผ่านจากโรงอาบน้ำ มาเป็นการสร้างรีสอร์ตสปาแทน แต่ส่วนมากจะต้อนรับเฉพาะบุคคลสำคัญและขุนนางชั้นสูงเท่านั้น

สำหรับวิวัฒนาการการอาบน้ำและการระงับกลิ่นกายในไทยนั้น ได้ถูกบันทึกไว้ใน ‘จดหมายเหตุพงศาวดาร’ ของ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubère) ที่บันทึกเหตุการณ์ช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

โดยมีเนื้อความหลักอธิบายไว้ว่า คนไทยจะนุ่งห่มผ้าแบบน้อยชิ้น แล้วชำระเหงื่อไคลออกจากร่างกายด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น ดินสอพอง ใยบวบ ไพล มะกรูด อีกวิธีหนึ่งคือการลงไปแช่ในน้ำหรือใช้ขันตักน้ำรดตามร่างกาย โดยคนไทยจะนิยมอาบน้ำวันละ 3-4 ครั้ง และมักจะประแป้งหลังอาบน้ำเสร็จ

หลังจากนั้นคนไทยได้มารู้จักการใช้สบู่ในปี พ.ศ. 2470 โดยได้รับการเผยแพร่มาจากชาวญี่ปุ่นที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งยุโรปอีกทอดหนึ่ง ในสมัยนั้นคนไทยจึงนำสบู่มาใช้ทั้งอาบน้ำ สระผม ซักผ้า ไปจนถึงล้างจาน

แต่ก็ยังมีการใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาอยู่อย่าง ‘สารส้ม’ ที่คาดว่ามีการค้นพบสารส้มเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสารส้มเริ่มนำมาใช้ในไทยเมื่อใด มีเพียงการอธิบายว่า ในสมัยก่อนที่คนไทยนิยมใช้น้ำจากลำธารหรือรองน้ำฝนใส่โอ่งเอาไว้ใช้เพื่ออุปโภคและบริโภค จะนำสารส้มไปแกว่งให้น้ำสะอาด รวมถึงนำมาระงับกลิ่นกาย ทั้งการอาบน้ำที่ผสมสารส้มและนำสารส้มมาถูระงับกลิ่นกายใต้วงแขน

มาจนถึงยุคปัจจุบัน มนุษย์รู้จักการระงับกลิ่นกายด้วยวิธีที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการอาบน้ำด้วยสบู่ การใช้น้ำหอม และใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย รวมถึงมีการใช้สารเคมีมาช่วยระงับกลิ่นกาย โดยผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจไม่ได้คำนึงถึงผู้ที่มีสภาพผิวบอบบางหรือมีแนวโน้มจะระคายเคืองง่าย

และบางผลิตภัณฑ์มีการใส่สารเคมีอันไม่พึงประสงค์เข้าไป เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ สารแต่งสี พาราเบน รวมถึงสารปรับผิวขาว (Whitening) ที่มีลักษณะลอกผิวหรือขัดผิว และสารที่มีความเป็นกรด ด่าง สูงเกินไป ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจุดด่างดำจากการอักเสบของผิว ทำให้สีผิวในบริเวณนั้นเปลี่ยนไป หรือที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดคือบริเวณรักแร้ที่ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือคล้ำขึ้นนั่นเอง

หรืออย่างผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกายบางชนิด ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อช่วยขจัดสิ่งสกปรกในร่างกาย แต่ผลที่ตามมาคือการขจัดไขมัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการปกป้องผิว ความสมดุลของค่า pH และเอนไซม์จึงถูกทำลาย จนทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง และอ่อนแอลง ซึ่งสามารถเปลี่ยนให้คนผิวแข็งแรงกลายเป็นผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายได้

รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยขัดเซลล์ผิว เช่น สครับผิว ที่อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีสิวอักเสบ มีหนอง รวมไปถึงผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบ เช่น โรคโรซาเซีย (Rosacea) เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบรุนแรงได้ รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวในครั้งเดียวกัน เช่น ใช้ครีมหลายตัวพร้อมๆ กัน อาจทำให้ผิวอุดตัน และนำไปสู่การแพ้และระคายเคืองตามมา

สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย หรือใช้สารเคมีจนทำให้ผิวอ่อนแอ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด อย่างแบรนด์ rati (รติ) ก็ได้ก้าวเข้ามาสู่การทำแบรนด์ Personal Care ด้วยการหยิบ pain point ของลูกค้าและของตนเองที่มีผิวแพ้ง่าย

มาต่อยอดสู่การใช้สารส้ม ซึ่งเป็นสารประกอบจากธรรมชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องการระงับกลิ่นกายได้ดี แถมยังไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จึงไม่ทิ้งคราบไว้บนเสื้อผ้า แต่ด้วยคุณลักษณะของสารส้มที่ใช้งานยาก เพราะอาจเกิดการแตกจนทำให้บาดผิว รวมถึงพกพาไปใช้นอกสถานที่ไม่สะดวก

rati จึงได้ปรับเปลี่ยนสารส้มให้ใช้ง่าย ดูทันสมัย พกไปที่ไหนก็ไม่อายใคร ด้วยการทำเป็นรูปแบบสเปรย์ระงับกลิ่นกายและสเปรย์ระงับกลิ่นเท้า โดยชูกลยุทธ์หลักเรื่องการคัดสรรส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดลูกยอซึ่งช่วยลดการเกิดกลิ่น สารสกัดใบฝรั่งและมังคุดที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย และสารสกัดจากเก๊กฮวยที่ช่วยปลอบประโลมผิว รวมถึงใช้สารส้มเกรดเดียวกับที่ใช้ทางการแพทย์ ทำให้ rati ไม่ใช่แค่แบรนด์ Personal Care แต่เป็นเสมือนเพื่อนแท้ที่อยู่คู่กายของทุกคนอย่างอ่อนโยน

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.ratibkk.com https://linktr.ee/ratibkk