ผลวิจัยชี้การเลี้ยงหมาแบบ ‘เข้มงวด’ และ ‘ตามใจ’ ล้วนเป็นวิธีการเลี้ยงหมาที่ ‘ผิด’
ในยุคแห่งสังคมผู้สูงอายุ ปริมาณสุนัขเพิ่มขึ้นทั่วโลก เพราะมีทั้งคู่รักคนรุ่นหนุ่มสาวที่เลี้ยงหมาแทนลูก ไปจนถึงคนแก่เหงาๆ ที่เลี้ยงสุนัขเป็นเพื่อน ซึ่งก็ไม่แปลกที่ ‘เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์’ ที่มีประวัติร่วมกันกับมนุษย์กว่า 20,000 ปีนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์จำนวนมากอยากจะมีชีวิตร่วมกับพวกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน ในไทยก็มีจำนวนสุนัขทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมากกว่าจำนวนเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีแล้ว ในช่วงปี 2022
ด้านหนึ่งก็เลยทำให้อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงโตไม่หยุด ฉุดก็ไม่อยู่ เพราะอย่างน้อยๆ ยอดขายอาหารสัตว์ก็ทำ ‘นิวไฮ’ ได้ ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ล้มระเนระนาดช่วงที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์
อะไรพวกนี้เป็นภาพสะท้อนความใส่ใจเป็นอย่างดีของมนุษย์ที่มีต่อสุนัขเพิ่มขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้มนุษย์สนใจสวัสดิภาพของสุนัขมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นคำว่า ‘เลี้ยงหมาเหมือนเลี้ยงลูก’ และทำให้คำถามเกี่ยวกับการเลี้ยงสุนัขเริ่มเหมือนกับคำถามเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กมากขึ้นๆ
คำถามหลักที่มีคนถามบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ ‘จะเลี้ยงหมาอย่างไรถึงจะดีต่อหมาที่สุด?’ และมันก็ทำให้เกิดงานศึกษามากมาย และงานศึกษาหนึ่งในวารสาร Animal Cognition ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในช่วงเดือนกันยายน 2022 ก็ ‘น่าสนใจ’ ไม่น้อย เพราะมันชี้ว่าจริงๆ ไอเดียเรื่องการเลี้ยงสุนัขแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ที่คนเคยเถียงๆ กันนั้นอาจจะ ‘ผิดทั้งหมด’ ก็ได้
การศึกษาดังกล่าวทดลองกับสุนัขจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีการตรวจสอบสุขภาพจิตในภาวะต่างๆ ของสุนัขที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงทดสอบทักษะในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ แล้วให้เจ้าของทำแบบสอบถามว่าเลี้ยงสุนัขเหล่านี้มายังไง ใช้วิธีไหนเป็นหลัก ซึ่งได้ผลที่น่าสนใจ
การศึกษานี้พบว่า การไม่ตั้งความคาดหวังกับสุนัขเลย เช่น สุนัขอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ ซึ่งมีคนเรียกวิธีนี้ว่าการเลี้ยงแบบ ‘ตามใจ’ จริงๆ ก็สร้างปัญหาให้กับสุนัขเช่นเดียวกับวิธีการเลี้ยงแบบตั้งความคาดหวังไว้สูงและไม่ลดราวาศอกใดๆ ที่เรารู้จักกันในภาษาชาวบ้านว่าเป็นการเลี้ยงแบบ ‘เข้มงวด’
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นวิธีแบบคนสมัยก่อนที่บอกว่าสุนัขต้องมีวินัยมีระเบียบ กับวิธีแบบคนรุ่นใหม่ที่ปล่อยให้สุนัขทำอะไรทุกอย่างที่อยากทำและไม่คุมอะไรเลย ล้วน ‘สร้างปัญหา’ ให้กับสุนัขในแบบที่ต่างกันไป และทำให้ ‘คะแนน’ ในการทดสอบออกมาไม่ดีทั้งคู่
แล้วการเลี้ยงสุนัขแบบไหนดีที่สุด?
คำตอบคือ การเลี้ยงโดยมีความคาดหวังกับสุนัขในแบบที่พร้อมจะปรับตัวให้เป็นไปตามพฤติกรรมตามธรรมชาติของมัน เพราะสุนัขแบบนี้จะมีสุขภาพจิตที่ดี และมีความสามารถในการแก้ปัญหาต่างๆ รวมถึงมีความสามารถในการอยู่ร่วมกับมนุษย์สูงที่สุด
ทำไมจึงเป็นแบบนั้น? คำตอบไม่ยากนัก ถ้าใครเคยศึกษา ‘ธรรมชาติของสุนัข’ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มนุษย์พัฒนาสายพันธุ์มาเพื่อรับฟังคำสั่งของมนุษย์โดยเฉพาะ ซึ่งก็ไม่แปลกที่พวกมันน่าจะเป็นสัตว์ที่ ‘ฝึกง่าย’ ที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์บนโลกใบนี้
ซึ่งพอ ‘ธรรมชาติ’ มันเป็นแบบนี้ การเลี้ยงสุนัขที่ดีก็เลยต้องฝึก ต้องสั่งตลอด ซึ่งถ้าคนศึกษาก็จะพอรู้วิธีฝึก รวมถึงกรอบเวลาที่คาดหวังว่าจะฝึกพวกมันได้ในแต่ละเรื่อง เพราะถึงพวกมันจะฉลาด แต่การเรียนรู้คำสั่งบางอย่างก็ใช้เวลาเป็นเดือน และนั่นไม่ได้อยู่ที่คนฝึก เพราะต่อให้ใช้คนฝึกมืออาชีพก็ต้องใช้เวลาแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นมันเป็นเรื่องของความเร็วเฉลี่ยในการเรียนรู้ของสุนัขเอง
ปัญหาของการเลี้ยงสุนัขแบบ ‘เข้มงวด’ แบบสมัยก่อนคือการคาดหวังกับสุนัขแบบมนุษย์ และไม่ลดราวาศอก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้แบบนั้น สุนัขแต่ละตัวมีศักยภาพในการเรียนรู้เรื่องต่างๆ ที่ต่างกันออกไป ไม่ได้ต่างจากมนุษย์แต่ละคนที่มีธรรมชาติและศักยภาพการเรียนรู้ที่ต่างกัน และการตั้งมาตรฐานไว้สูง ไม่ยอมปรับเลย ก็ทำให้สุนัขเครียด ขาดความมั่นใจ ไม่ได้ต่างจากเด็กที่โตมาในบ้านที่พ่อแม่เข้มงวดสุดๆ แต่อย่างใด
แต่อีกด้านก็จะมีคนที่คิดว่าการเลี้ยงแบบ ‘ตามใจทุกอย่าง’ เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ก็มีปัญหา เพราะสุนัขในฐานะสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมสังคมกับมนุษย์ ก็ต้องมี ‘ทักษะในการเข้าสังคม’ ขั้นต่ำเช่นกัน คือต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่ควรทำ และนั่นคือเหตุผลเพื่อ ‘ความปลอดภัย’ ด้วย
นอกจากนี้ สมองของสุนัขก็มีวิวัฒนาการมาเพื่อ ‘รับคำสั่ง’ พอไม่ได้รับคำสั่งเลยก็จะทำให้สมองเสื่อมเร็วไปด้วย กล่าวคือ การเลี้ยงแบบปล่อยจะทำให้สุนัขไม่ได้พัฒนาศักยภาพสมองในส่วนการรับรู้กฎระเบียบและการอยู่ร่วมในสังคม ส่งผลให้สุนัขมี ‘ทักษะสังคม’ ต่ำ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ต่างจากการเลี้ยงลูกมนุษย์แบบปล่อย หรือที่เรียกกันในภาษาปากว่า ‘สปอยล์เด็ก’
ดังนั้น นี่เลยทำให้การเลี้ยงสุนัขที่ดี คือการมีความคาดหวังและพยายามฝึกมัน และการฝึกก็ต้องพร้อมจะปรับไปตามธรรมชาติของสุนัขแต่ละตัว และต้องพร้อมจะยอมรับได้ว่าสุนัขบางตัวอาจต้องใช้เวลาฝึกนานกว่าปกติ ไปจนถึงการที่สุนัขบางตัวอาจจะไม่สามารถทำเรื่องบางอย่างได้ นี่แหละคือสิ่งที่จะดีกับสุนัขที่สุด ในฐานะของสิ่งมีชีวิตที่ต้องอยู่ในสังคมมนุษย์
ทั้งนี้ เราก็ต้องไม่ลืมว่าประเด็นทั้งหมดเป็นการคุยกันบนฐานของบริบทตะวันตกที่ ‘เจ้าของ’ จำนวนมากรู้หน้าที่อยู่แล้วว่าสุนัขทุกตัวต้องการ ‘การจูงออกไปเดิน’ ทุกวัน (และหลายๆ ประเทศมีกฎหมายกำหนดด้วยซ้ำว่าเป็นหน้าที่เจ้าของ) เพราะสุดท้าย ก็ต้องไม่ลืมอีกว่าสำหรับสุนัขจำนวนไม่น้อย การที่มัน ‘นิสัยไม่ดี’ ไม่ได้เกิดจากการไม่ฝึก หรือฝึกน้อยไป แต่อาจแค่เป็นเพราะมันเครียดจากการที่ไม่ได้ ‘ออกกำลัง’ หรืออาจจะออกกำลัง ‘น้อยไป’ และวิธีแก้พื้นฐานคือ ต้องให้มันออกกำลังให้เพียงพอในแต่ละวัน
ดังนั้นอย่าแปลกใจที่สิ่งแรกๆ ที่ ‘นักปรับพฤติกรรมสุนัข’ จะถามคุณ ถ้าหากน้องหมาของคุณมีปัญหาด้านนิสัยใจคอก็คือ “คุณจูงมันออกไปเดินบ่อยแค่ไหน?”
อ้างอิง
- Salon. A study of dog parenting techniques has a definitive answer on how to make Fido the very best boy. https://bit.ly/3joEF6b
- Frontiers in Veterinary Science. Spatial Distribution and Population Estimation of Dogs in Thailand: Implications for Rabies Prevention and Control. https://bit.ly/3HNZBwW