‘Pussy want democracy too’ พูดคุยกับผู้หญิงปลดแอก กับสิทธิการทำแท้งที่ควรเป็นของผู้หญิง
“Pussy want democracy too”
จิ๋มก็ต้องการประชาธิปไตย!
ในการชุมนุมทางการเมืองหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประโยคเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยของเพศหญิงถูกเขียนไว้บนแผ่นหลังของสมาชิก ‘กลุ่มผู้หญิงปลดแอก’ (Women for Freedom and Democracy) เพื่อเรียกร้องให้การทำแท้งเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ตามสิทธิมนุษยชนของผู้หญิง
จากเดิมที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ระบุว่าหญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กฎหมายฉบับนี้ถูกร่างขึ้นในปี 2500 โดยตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา มีกระแสและการเรียกร้องว่ากฎหมายฉบับเดิมนั้นควรปรับเปลี่ยน
ปัจจุบันคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีความเห็นชอบให้แก้ไขกฎหมายทำแท้งในเบื้องต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 301 ก่อนหน้านี้ให้สามารถทำแท้งได้ในอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และเพิ่มเติมมาตรา 305 ให้ยกเว้นความผิดในกรณีที่แพทย์ช่วยทำแท้ง
แต่ในสังคมปัจจุบันก็ยังมีการถกเถียงต่อว่าการทำแท้งนั้นสมควรจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงหรือ? The Attention จึงได้พูดคุยกับ ตุ๊กตา-นิศารัตน์ จงวิศาล สมาชิกคณะผู้หญิงปลดแอก (Women for Freedom and Democracy) และ “กลุ่มทำทาง” อาสาสมัครที่ทำงานให้คำปรึกษาผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้หญิงที่ต้องการทำแท้ง และการแก้ไขกฎหมาย ที่หลายคนมองว่ายังเร็วเกินไปสำหรับประเทศไทย
“ชีวิตคนเป็นเรื่องที่เร่งด่วนไหมล่ะ ชีวิตคนเป็นเรื่องเร่งด่วน ถ้าคุณแก้กฎหมายวันนี้แล้วคุณช่วยชีวิตผู้หญิงได้ทำไมคุณไม่แก้ คุณจะรอให้มันไปอีก 10 ปี 20 ปีให้ผู้หญิงตายกี่คน”
ทำไมทางกลุ่มถึงมองว่าการทำแท้งไม่ควรมีความผิด?
มันเป็นสิทธิของเรานะ มันเป็นสิทธิที่ผู้หญิงทุกคนพึงมี กฎหมายไม่มีสิทธิมาพรากสิ่งนั้นไปจากเรา ทางกลุ่มทำทางของพวกเราเสนอให้ยกเลิกมาตรา 301 ไปเลย ผู้หญิงที่ทำแท้งต้องไม่มีความผิดทุกกรณี ด้วยเหตุผล 2 ส่วน ก็คือการกันคนไม่ให้เข้ารับบริการ ถ้าหากว่ากฎหมายบอกว่ามีความผิด กฎหมายไม่ได้ช่วยให้ผู้หญิง “ไม่ทำแท้ง” แต่ว่าจะผลักให้ผู้หญิงที่ต้องการทำแท้งไปหาช่องทางที่ไม่ปลอดภัยมากกว่า นำไปสู่การสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นเสียชีวิต เสียเงิน
อีกส่วนคือประเทศไทย เราเป็นรัฐฆราวาสที่ไม่ได้เอาหลักศาสนามาเกี่ยวกับกฎหมาย ซึ่งการทำแท้งเป็นการ “ฆ่า” ทางศาสนา ไม่ใช่การ “ฆ่า” ทางกฎหมาย เพราะตัวอ่อนนั้นยังไม่ได้มีสถานะเป็นบุคคลจริงๆ ในฐานะที่เราเป็นรัฐฆราวาส เราก็ไม่ควรเอากฎหมายไปผูกโยงกับศาสนาถูกต้องไหมคะ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งต้องการที่จะทำแท้ง เขาจะต้องทำยังไงบ้าง?
ด่านแรกคือการเข้าถึงข้อมูลก่อน เข้าถึงข้อมูลในที่นี้คือทราบว่าสามารถทำแท้งได้ที่ไหน อาจจะรู้จักเบอร์ 1663 หรือรู้จักกลุ่มนำทาง ถ้าเขาเข้าถึงเรา เขาก็สามารถเข้าถึงบริการในคลินิกที่มีอยู่ทั่วประเทศ อาจจะไม่ทุกจังหวัดแต่ก็ทั่วประเทศ ฟังดูเหมือนง่ายใช่ไหม แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น และการทำแท้งก็ไม่ได้ฟรี และค่าใช้จ่ายหลักพันก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ สำหรับหลายคน
เรื่องต่อมาที่ต้องเจอคือเรื่องความรู้สึกนะ เวลาผู้หญิงต้องการทำแท้งแล้วมาปรึกษาเราเนี่ย เขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเขาปรึกษาใครไม่ได้เลย เขาได้ปรึกษาเรา พอได้พูดออกมามันก็ทำให้เขาโล่งใจ เพราะเขาถูกทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว มันเริ่มตั้งแต่เรารู้ว่าเราท้องและเราไม่พร้อมแล้ว มันโดดเดี่ยวนะ เราคุยกับหมอที่โรงพยาบาลก็กลัวโดนว่า โอ้โห โดดเดี่ยวมากเลย ไม่มีใครเป็นเพื่อนเลยสักคน
การเข้ารับบริการมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?
ที่สำคัญอันดับแรกคืออายุครรภ์ ทั่วไปจะให้บริการที่ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ส่วนเงื่อนไขสุขภาพมีน้อยมากนะที่จะทำไม่ได้ เช่น ต้องเป็นโรคหัวใจที่รุนแรง เสียเลือดง่ายมาก ซึ่งทางแพทย์จะไม่ทำให้
ตามเงื่อนไขกฎหมายปัจจุบัน คือครรภ์นั้นเกิดจากความผิดทางเพศ เช่น ถูกล่วงละเมิดหรือเป็นผู้เยาว์ หรือเกิดจากตัวอ่อนไม่สมบูรณ์และแม่เครียดมาก แต่กฎหมายก็ยังเปิดช่องว่า ถ้าหากครรภ์นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ (ทั้งกายและใจ) สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ หรือถ้าครรภ์นั้นทำให้แม่ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ เครียดจนไม่สามารถทำงานได้ หรือเป็นโรคซึมเศร้า หรือพยายามฆ่าตัวตาย ก็ยุติการตั้งครรภ์ได้
แล้วการที่ผู้หญิงท้องไม่พร้อมนั้นเครียดในระดับนั้นไหม ก็เป็นไปได้สูง แต่ก็จะอยู่ที่คุณหมอสองคนเป็นคนพิจารณาว่าทำได้ไหม
เอาเข้าจริงปัจจุบันการทำแท้งก็ไม่ได้เข้าถึงยากขนาดนั้น ถ้าหากยกเลิกความผิดมาตรา 301 สถานการณ์จะเปลี่ยนไปจากเดิมไหม?
เราว่ามันจะเปลี่ยน เมื่อกฎหมายเปลี่ยน ท่าทีนโยบายของหน่วยงานต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยน เช่นถ้าหากทำแท้งไม่ใช่เรื่องผิดแล้วมันก็เป็นไปได้ใช่ไหมที่เราจะพูดเรื่องการทำแท้งในหลักสูตรเพศศึกษา เราสามารถมีนโยบายการส่งต่อคนไข้ตามโรงพยาบาลเพื่อการทำแท้งที่มีประสิทธิภาพได้ ดังนั้นในทางปฏิบัติมันทำได้ แต่ในสังคมเราก็ต้องรณรงค์ต่อไป แต่ก็อย่างเต็มภาคภูมิกว่าเดิมค่ะ (หัวเราะ)
“จริงๆ คืออยากบอกว่ามันไม่เป็นไรหรอก คนเราก็พลาดกันได้ กลุ่มทำทางและ NGO หลายๆ คนเข้าใจความจำเป็น เรายืนอยู่ข้างๆ ผู้หญิงทุกคน คุณไม่ได้โดดเดี่ยว”
หลายคนมองว่า ทำไมต้องไปตามโลกเสรี มีอีกตั้งหลายประเทศที่การทำแท้งไม่ถูกกฎหมาย
ให้ประเทศไทยเป็นรัฐศาสนาก่อนสิค่อยไปเดินตาม ไทยไม่ใช่รัฐศาสนา หรือแม้กระทั่งประเทศใกล้ๆ บ้านเราอย่างกัมพูชา เนปาล อินเดีย เหล่านี้ทำแท้งถูกกฎหมายได้หมด และซื้อยาทำแท้งเองได้ด้วย ทั้งที่เขาก็มีศาสนาที่เข้มข้น เขายังอนุญาตให้ผู้หญิงทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมาย ให้สิทธิผู้หญิงด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเอาความปลอดภัยของคนนำหน้าความเชื่อได้
หลายคนมองว่าประเด็นการทำแท้งเป็นเรื่องของคนส่วนน้อย และควรไปโฟกัสที่การป้องกันดีกว่า คิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้?
ตามสถิติทั่วโลก การทำแท้งเป็นหัตถการที่มีการให้บริการสูงเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับหัตถการอื่นๆ เช่น ตัดหูด ตัดฝี มีการทำแท้งเยอะกว่า แล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนจำนวนเล็กๆ เหรอ ส่วนที่ทำไมถึงมีคนออกมาเรียกร้องน้อย มันเป็นเพราะเมื่อออกมาเรียกร้อง ออกมาพูดดังๆ คนกลุ่มน้อยในความรู้สึกของเราที่ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งมากๆ เขาเป็นกลุ่มน้อย แต่เขาเสียงดัง ในความรู้สึกของเราไม่มีใครอยากเอาหน้าไปรับเสียงที่ดังขนาดนั้น
มีคนกลัวว่าจะทำให้อัตราการท้องไม่พร้อมมากขึ้น รับมือกับตรงนั้นยังไง?
ตามสถิติ ในประเทศที่มีการทำแท้งถูกกฎหมาย อัตราการทำแท้งน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเมื่อการทำแท้งถูกกฎหมายสิ่งที่ไปพร้อมกันคือความรู้เรื่องเพศศึกษา บริการคุมกำเนิดจะถูกพูดถึงมากขึ้นด้วย เมืองไทยจะมีคำพูดเสมอว่าถ้าทำแท้งได้ก็จะไม่มีใครป้องกันไม่มีใครใส่ถุงยาง เอาจริงๆ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเจ็บตัว ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากท้องตั้งแต่แรก ไม่มีใครที่มักง่ายกับร่างกายตัวเองขนาดนั้นหรอก
คนที่ท้องไม่พร้อมเขาต้องเจอกับอะไรที่มาตีตราบ้าง?
โง่ ไม่รู้จักป้องกัน สำส่อน ใจแตก ไม่กล้าพูด ไม่มีปากมีเสียง ไม่กล้าบอกให้ผู้ชายใส่ถุงยาง ไม่ยอมรับความเป็นแม่ ทำแล้วไม่รับผิดชอบ
คนที่ท้องไม่พร้อมหรือต้องการทำแท้งต้องเจอกับคำพูดพวกนี้ แต่ในพฤติกรรมเดียวกันผู้ชายไม่ถูกว่าขนาดนั้น มันคืออคติทางเพศ เรื่องนี้ผู้หญิงถูกต่อว่า เป็นเจ้าของความผิดแต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่ใช่ ไม่มีใครผิดเลย
เราจะเปลี่ยนความเชื่อเดิมๆ ของไทยเรื่องท้องเพราะใจแตก ไม่รักนวลสงวนตัวยังไง?
ตามข้อมูลแล้วผู้หญิงท้องไม่พร้อมจำนวนมากไม่ใช่วัยรุ่น แต่การท้องไม่พร้อมถูกตีตราว่าเป็นของวัยรุ่นมากกว่า คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วพลาด และก็มีการตัดสินใจไปทำแท้งมากกว่าด้วยซ้ำ มันคงไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้จักถุงยางหรอก แต่มันก็มีความจำเป็นของชีวิต
หลายคนอยากรู้ว่าคนทำแท้งสามารถที่จะไม่รู้สึกอะไรได้จริงๆ ไหม
ต้องถามอย่างนี้มากกว่าค่ะ ว่าคนนอกที่ไม่ใช่เจ้าของร่างกายยังรู้สึกเลยว่า คนทำจะรู้สึกยังไง ไม่รู้สึกเสียใจเหรอ ไม่สะเทือนใจเหรอ คุณเป็นคนนอกคุณยังถามเราเลย แล้วคนที่เป็นคนตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์เอง เขาจำเป็นขนาดไหนถึงจะต้องทำ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามองด้วยเหตุและผล รู้ว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถตัดสินใจได้แล้วในขณะนั้น มันก็สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
สุดท้าย อยากบอกอะไรคนที่ต้องการทำแท้งบ้าง?
อยากให้รู้ก่อนเลยว่ามันทำได้ ถ้าคุณตั้งครรภ์ไม่พร้อม มันทำได้ อย่างถูกกฎหมายด้วย คุณหาเราให้เจอ โทรไป 1663 เพื่อทราบว่าสามารถทำได้ที่ไหน ส่วนเรื่องจิตใจ จริงๆ คืออยากบอกว่ามันไม่เป็นไรหรอก คนเราก็พลาดกันได้ กลุ่มทำทางและ NGO หลายๆ คนเข้าใจความจำเป็น เรายืนอยู่ข้างๆ ผู้หญิงทุกคน คุณไม่ได้โดดเดี่ยว
ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า “ทำไมการทำแท้งปลอดภัยจึงควรเป็นทางเลือก” พร้อมติด #ท้องเลือกได้ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือบอกเล่าประสบการณ์เพื่อให้สังคมได้เห็นแง่มุมที่หลากหลายเกี่ยวกับการทำแท้งได้ที่: https://www.brandthink.me/campaign/tongluekdai
🗨 วิธีร่วมแสดงความคิดเห็น
- เข้าเว็บไซต์ BrandThink หน้าเเคมเปญ #ท้องเลือกได้: https://www.brandthink.me/campaign/tongluekdai
- สมัคร หรือ ล็อคอิน เพื่อเข้าสู่ระบบ
- แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำแท้งเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็น “ทำไมการทำแท้งปลอดภัยจึงควรเป็นทางเลือก” ได้ด้านล่างของหน้าเเคมเปญ