2 Min

Productive ไม่ใช่แค่เรื่องของเวลา แต่ยังรวมไปถึงวิธีจัดการพลังงานของเราด้วย!

2 Min
1381 Views
12 Oct 2020

สำหรับหลายคนที่อยากทำตัวเองให้กลายเป็นคน Productive ไม่ว่าจะลองทำ Time Boxing ก็แล้ว อ่านบทความ How to ต่างๆ ด้านการจัดเวลาและจัดการตัวเองก็แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำตัวให้ Productive ได้เท่าที่หวังไว้ บางทีเราอาจจะกำลังติดกับดักเรื่องเวลาอยู่มากเกินไป

แน่นอนว่าสำหรับการทำตัวให้ Productive สิ่งสำคัญคือการจัดเวลา แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เรามักหลงลืมไปด้วยว่าต้องจัด คือ จัดการพลังงานของตัวเองให้ถูกที่ถูกทางด้วยเช่นกัน ซึ่งพลังงานตรงนี้ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องของร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วย อารมณ์, ความคิด และ จิตวิญญาณ โดยทั้ง 4 องค์ประกอบนี้มีวิธีการจัดการและเพิ่มพลังงานที่แตกต่างกันไป

อย่างแรก ร่างกาย

มีหลายครั้งที่เราตั้งใจอยากทำงานให้ดี แต่แค่ตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่อยากตื่น ตกบ่ายมาก็รู้สึกง่วงนอนตลอด ตอนกลางคืนที่ควรพักผ่อนก็ดันนอนไม่หลับ พอจะหลับก็หลับๆ ตื่นๆ อีก หากสภาพร่างกายเราเป็นแบบนี้คงเป็นไปได้ยากที่จะทำตัวให้ productive

การฟื้นฟูสภาพร่างกาย อย่างน้อยเราก็ควรนอนให้เป็นเวลา ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมีการออกกำลังกายที่เพียงพอ

อย่างถัดมา คือ อารมณ์

มีหลายงานวิจัยที่ออกมาเปิดเผยว่า หากเราอยู่ในช่วงที่อารมณ์ดี แจ่มใส จะสามารถทำงานได้ดีมากกว่าอารมณ์เสียหรือหงุดหงิด อันที่จริง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เรารู้ๆ กันอยู่ แต่ทว่าการอารมณ์ดีหรือมีมู้ดในการทำงานก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะเวลาเราทำงานมักจะมีสิ่งที่มารบกวนใจเราอยู่บ่อยๆ

โดยส่วนมากสาเหตุที่ทำให้เราอารมณ์ไม่ดีเพราะรู้สึกว่า เราโดนกระทำ และเป็นเหยื่อของอารมณ์ของคนอื่น ดังนั้นหนึ่งในวิธีการปรับอารมณ์ที่ค่อนข้างใช้ได้ผลดีคือ การสวมแว่นสามมุม กรอบแว่นอันแรกที่เราสวมใส่คือ กรอบในมุมกลับ ให้เราถามตัวเองว่า “ถ้าเราเป็นเขาในสถานการณ์เดียวกัน เราจะพูดแบบเขาหรือเปล่า และเราจะทำอย่างไร” แว่นถัดมาคือ แว่นสายตายาว คือ ถามต่อไปว่า “แล้วจากการกระทำนี้จะส่งผลกระทบต่อหกเดือนข้างหน้าอย่างไร?” แว่นสุดท้าย คือ แว่นมุมกว้าง คือการถามตัวเองว่า “เราได้เรียนรู้และเติบโตอะไรบ้างจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่” การใช้แว่นทั้งสามนี้อาจจะช่วยให้เราปรับมุมคิดและอารมณ์ของเราให้ดีขึ้นได้

อย่างที่สาม คือ ความคิด

ความคิดในที่นี้เราไม่ได้หมายถึงเรื่องคิดบวกหรือคิดลบ แต่เป็นความคิดในการโฟกัสงานใดงานหนึ่ง หรือการมีสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้าโดยไม่ถูกรบกวนจากเรื่องราวใดๆ มากกว่า

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราหลุดโฟกัสบ่อยที่สุด คือ การแจ้งเตือนต่างๆ จาก smart phone หรือ social media ส่งผลให้เราวอกแวก เช่น กำลังพิมพ์รายงานสรุปการประชุม แต่มีไลน์เด้งเข้ามาจากอีกทีมงานอีกกลุ่มหนึ่ง และเราก็เลยมาตอบไลน์ก่อน ระหว่างที่ตอบไลน์ก็มีโทรศัพท์เข้ามากะทันหัน เราก็เลยรับโทรศัพท์ต่อทั้งๆ ที่ยังพิมพ์ไลน์ไม่จบ กลายเป็นว่างานที่ควรทำให้เสร็จก็ไม่เสร็จสักอย่าง ซึ่งการทำแบบนี้เปลืองเวลาและเปลืองพลังงานสมองกว่ามาก ทางที่ดีคือ เราควรทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เสร็จโดยเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดของงานในแต่ละวัน แล้วค่อยมาทำงานยิบย่อยอื่นๆ

อย่างสุดท้าย คือ จิตวิญญาณ

เราสามารถเติมเต็มจิตวิญญาณของเราได้จากงานและกิจกรรมที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อเรา ถ้าเราพบงานที่ให้ความหมายเราจะพบว่าตัวเองมีพลังงานทุกวัน แต่น่าเสียดายที่โลกในปัจจุบันไม่ได้ให้เวลาและโอกาสเรามากมายในการสนใจประเด็นเหล่านี้ ซึ่งทำให้เราได้เราผลกระทบต่างๆ ตามมา เช่น อาการ burn out เป็นต้น

เพื่อเข้าถึงคุณค่าและจิตวิญญาณ เราต้องจัดลำดับความสำคัญของงาน, ครอบครัว (ความสัมพันธ์) และ ได้ใช้ชีวิตไปตามหลักการที่เรายึดถือ

สุดท้ายนี้ การใช้ชีวิตแบบ Productive จึงไม่ได้หมายถึงว่าให้เราจัดการเวลางานของเราให้ดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องจัดการพลังงานด้านอื่นๆ ของเราให้ดีขึ้นตามไปด้วย เพราะทุกอย่างเป็นสิ่งที่สืบเนื่องเชื่อมโยงต่อกัน ครั้งหน้าลองจัดตารางเวลาใหม่โดยพยายามใส่เรื่องที่สนุก และมีคุณค่าของเราตามลงไปด้วยนะ!

อ้างอิง: