สำรวจ ‘กฎหมายทำแท้งใหม่’ ให้รอบด้าน เงื่อนไขอายุครรภ์ต่ำกว่า 12 สัปดาห์ ข้อดี-ข้อเสียคืออะไร?
หลังจากร่างกฎหมายอาญามาตรา 301 ว่าด้วยโทษของการ “ทำแท้ง” ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีให้สามารถทำได้ โดยมีเงื่อนไขว่าอายุครรภ์ต้องต่ำกว่า 12 สัปดาห์ และจะเริ่มต้นมีผลบังคับใช้ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ภาคประชาชนเคยมีการรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอให้ยกเลิกความผิดในมาตรา 301 เพราะมองว่าการเปลี่ยนเงื่อนไขการทำด้วย ‘อายุครรภ์’ อาจไม่ครอบคลุมปัญหาทั้งหมด
การกำหนดเงื่อนไขอนุญาตให้ทำแท้งได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ภายใต้เงื่อนไขอายุครรภ์ 12 สัปดาห์นั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
เราได้พูดคุยกับ คุณน้อย–สมวงศ์ อุไรวัฒนา ผู้รับผิดชอบโครงการสายด่วนฯ 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อมเพื่อมองกฎหมายทำแท้งใหม่ให้รอบด้าน
“มันเหมือนดี แต่ก็มีความลำบากซ่อนอยู่ในนั้น ในขณะที่กฎหมายนี้ดีในลักษณะหนึ่ง แต่เงื่อนไขที่ดีก็ไปทำให้คนอีกกลุ่มมีปัญหาขึ้นมา เช่น คนที่ท้องเกิน 12 สัปดาห์”
ข้อดีคือผู้หญิงที่ต้องการเข้ารับบริการนั้นสามารถทำได้โดยไม่มีความผิดในอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ขณะที่กลุ่มผู้หญิงที่อายุครรภ์เกิน แม้จะเป็นส่วนน้อย แต่กลุ่มนั้นจะถูกกฎหมายทิ้งไว้ข้างหลัง โดยคุณน้อยระบุว่าเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถทำแท้งอย่างปลอดภัยได้จนถึงอายุครรภ์ 24 สัปดาห์
สถิติที่สายด่วน 1663 เก็บจากสายที่โทรมาปรึกษาเรื่อง ‘ท้องไม่พร้อม’ พบว่าราว 80% ของคนที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมมีอายุครรภ์ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ขณะที่อีก 20% มีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์
จากตัวเลขเฉลี่ยคร่าวๆ ในแต่ละปี มีสายโทรมาปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อมราว 3 หมื่นสาย ในจำนวนนั้นจะมีราวๆ 6,000 รายที่อายุครรภ์เกิน และถ้าหากกฎหมายใหม่ไม่ได้มีการยืดหยุ่น คนจำนวนนี้จะไม่สามารถเข้าถึงบริการได้เลย
เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายปัจจุบันซึ่งไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขอายุครรภ์ แต่ใช้ดุลพินิจของแพทย์ 2 คนเป็นหลัก โดยคุณน้อยระบุถึงปัญหาที่น่ากังวลเช่น ในกรณีที่ตัวอ่อนในครรภ์ไม่สมบูรณ์ โรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่อยู่นอกเมืองจะทราบตอนอายุครรภ์ราว 16 สัปดาห์ หรือแม่ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น เบาหวาน ก็จะทราบหลัง 12 สัปดาห์ ซึ่งผู้หญิงในกลุ่มนี้อาจเจอกับปัญหาเรื่องอายุครรภ์เกินได้
คุณน้อยเปรยว่า อยากให้สังคมเข้าใจว่าการตั้งครรภ์ไม่พร้อมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เช่น ราว 20% ที่พร้อมตั้งครรภ์ในตอนแรกแต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นทำให้ต้องตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ทีหลัง โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่มีคนในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นราว 44% ไม่ว่าจะจากปัญหาเศรษฐกิจหรือครอบครัว แต่เมื่อบริบทชีวิตเปลี่ยนไป การตัดสินใจก็ต้องเปลี่ยนตาม
ทั้งนี้ ต้องดูว่าในทางปฏิบัติกฎหมายนั้นยืดหยุ่นมากแค่ไหน เนื่องจากในกฎหมายมาตรา 305 ซึ่งเป็นข้อที่ยกเว้นความผิดให้กับความผิดการทำแท้งยังไม่ได้มีข้อที่แน่ชัดว่าจะยกเว้นดุลพินิจของแพทย์เพิ่มเติมหรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยมากกว่าตัวเลขอายุครรภ์
“กฎหมายเขาระบุว่าทำแท้งไม่มีความผิด แต่ไม่ได้แปลว่าแพทย์ต้องทำ”
คนสำคัญในกระบวนการไม่ได้มีเพียงแค่ผู้หญิง แต่แพทย์ที่มีอำนาจตัดสินใจและเป็นผู้ทำให้การทำแท้งสำเร็จก็มีผลอย่างมาก สิ่งที่น่ากังวลคือเมื่อพอมีจำนวนอายุครรภ์มากำหนด แพทย์ที่เคยกล้าทำก็อาจไม่กล้าทำได้ เพราะเดิมทีถ้าแพทย์มีดุลพินิจเห็นว่าทำได้ ก็สามารถทำโดยไม่มีอายุครรภ์มาเป็นเงื่อนไข
ส่วนในประเด็นเรื่องการเข้าถึงการรับบริการนั้น คุณมองว่าไม่ได้เปลี่ยนไปจากกฎหมายปัจจุบันมากนัก เนื่องจากการทำแท้งยังขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแพทย์ เพราะการทำแท้งยังไม่ถูกนิยามว่าเป็น ‘การรักษา’ รวมถึงยังไม่ได้มีนโยบายให้สามารถทำแท้งได้ในทุกโรงพยาบาล
สรุปแล้ว…กฎหมายทำแท้งฉบับใหม่นั้นมีเปิดโอกาสให้ผู้หญิงที่ต้องการเข้ารับบริการทำแท้งราว 80% สามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีความผิด แต่อาจมีผู้หญิงตั้งครรภ์บางกลุ่มที่กฎหมายไม่ครอบคลุม รวมถึงการที่กฎหมายอนุญาตให้การทำแท้ง (กรณีที่อายุครรภ์ไม่ถึง 12 สัปดาห์) ไม่มีความผิดไม่ได้แปลว่าจะสามารถเข้าถึงการรับบริการได้ง่ายกว่ากฎหมายปัจจุบันมากนัก