ทำยังไงให้หลอน? คุยกับทีม Post Production อาทิตย์อัสดง และเบื้องหลังความสยดสยองของซีรีส์

6 Min
897 Views
08 Jun 2021

Select Paragraph To Read

  • เล่าเรื่องให้คนดูเป็นส่วนหนึ่งของตัวละคร
  • บรรยากาศไม่ได้เกิดแค่จากงานภาพ ‘เสียง’ สร้างความหลอนได้มากกว่าที่คิด
  • ในบางซีนการไม่มีเสียงเลยก็ยังสามารถทำงานกับความรู้สึกได้เหมือนกัน

ถ้าหากใครเคยได้ชม ‘อาทิตย์อัสดง’ หรือ After Dark เชื่อว่าคงได้สัมผัสความสยดสยองปนขยะแขยง จากงานภาพและเรื่องราวในเรื่องอย่างเต็มขั้น เพราะซีรีส์เรื่องนี้รวมความน่ากลัว และความดาร์กจนทำเอาคนดูใจสั่นหวั่นไหว แต่ความหลอนนี้ไม่ได้เกินขึ้นจากแค่เรื่องราวที่เข้มข้น ทุกองค์ประกอบส่งผลกับความรู้สึกคนดูได้

เรามาคุยกับเบื้องหลังที่ปั้นในซีรีส์นี้ให้สู่ความสยองในขั้นกว่า กับทีม Post Production ของอาทิตย์อัสดง ‘โจ’ หรินทร์ แพทรงไทย Series Editor ‘ดิว’ ชัยธวัช ไตรสารศรี Project Colorist และ ‘โจ๊ก’ พุฒิภัทร สังวารเพชร Sound Mixer ของซีรีส์อาทิตย์อัสดง ว่าพวกเขาใช้เทคนิคอะไรดึงเอาความสยองออกมาในใจคนดูได้ขนาดนี้

เล่าเรื่องให้คนดูเป็นส่วนหนึ่งของตัวละคร

หลายคนอาจเคยคิดว่าการสร้างความกลัวต้องใช้ภาพที่สยดสยอง ใช้จังหวะตกใจ และบีบคั้น แต่สำหรับซีรีส์อาทิตย์อัสดง ‘โจ’ หรินทร์ แพทรงไทย Series Editor ที่ดูภาพรวมการเล่าเรื่องของทั้งซีรีส์เชื่อว่าการสร้างความหลอนแม้แต่กับคนที่ไม่กลัวผี ต้องเกิดขึ้นจากการเล่าเรื่องราวให้คนดูเป็นส่วนหนึ่งและอินไปกับตัวละคร

“อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรากลัว นั่นหมายความว่าเราก็ควรจะต้องรู้สึกเหมือนที่ตัวละครรู้สึกในแง่คนดู ผมก็เลยคิดว่างั้นเราต้องทำยังไงก็ได้ให้คนดูรู้จักตัวละครให้ได้มากที่สุดก่อน รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ปัญหาเขาคืออะไร ให้เรารู้สึกว่าเรารู้จักคนๆ นี้ แล้วพอเวลาตัวละครเหล่านี้เขาจะต้องไปเผชิญกับชะตากรรมหรือโดนผีหรือสิ่งแปลกปลอมจู่โจม เราก็จะไปลุ้นตามกับตัวละครละ มันก็จะทำให้เรากลัวและหลอนไปกับตัวละครด้วย”

การเป็นหนึ่งเดียวกับเรื่องราวช่วยให้คนดูรู้สึกหวาดกลัวและอินไปกับเรื่องราวได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเอาใจช่วยตลอด ผู้ชมสามารถอินไปกับความเกลียดชัง สะใจ สมน้ำหน้า และหดหู่ ไปกับตัวละครก็เป็นการสร้างอารมณ์ร่วมไปกับหนัง แต่ถ้าพูดถึงจังหวะที่กระตุกความขนหัวลุกในหนังผีคนส่วนมากจะคิดถึงจังหวะ Jump Scare สำหรับอาทิตย์อัสดงความน่ากลัวไม่ต้อง Jump Scare เสมอไป

“เราไม่ได้มอง jump scare เป็นวิธีหลักแต่เราจะเน้นการเล่าเรื่องกับบรรยากาศมากกว่า ผมจะเน้นที่ตัวละครแล้วก็ drive ของตัวละครมาก เพราะมันก็ไม่ได้หมายความว่า jump scare แล้วมันจะน่ากลัว ถ้ามันมาไม่ถูกจังหวะ หรือมาแบบไม่มี Logic เกินไป การจะสร้างให้คนกลัวได้มันมาจากหลายอย่างการเห็น reaction ของตัวละคร การเห็นสายตาว่าเขามองอะไรอยู่ การค่อยๆ เดินไป ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหลังหรืออะไรอย่างนี้ บางทีมันก็อาจจะรู้สึกน่ากลัวกว่าการ jump scare ก็ได้ อันนี้มันก็อยู่ที่การดีไซน์แล้วก็ไอเดียของแต่ละเรื่อง แล้วก็แต่ละซีนด้วย”

แน่นอนว่าในอาทิตย์อัสดงเองก็ต้องมีจังหวะกระตุ้นเพื่อดึงความตื่นเต้นในกับคนดู ซึ่งแต่ละซีนผ่านการดีไซน์เพื่อดึงอารมณ์ในแต่ละจังหวะวินาทีในช่วงที่การดำเนินเรื่องนิ่งอาจต้องกระตุกให้คนดูตกใจ หรือการปล่อยซีนกดดันนิ่งๆ ก็เป็นการกดดันอารมณ์คนดูได้ขึ้นอยู่กับการดีไซน์แต่ละซีน

“อาทิตย์อัสดงมันเป็น 4 ตอนแยกกันในแต่ละตอนก็มีลีลาการหลอกผีหรือความน่ากลัวคนละแบบเหมือนกัน ผมคิดว่าจริงๆ ซีรีส์เรื่องนี้คือระดมเอาอาวุธวิธีการหลอกของผีมาใช้เยอะมาก จนซีนหลังๆ เริ่มคิดกันไม่ออกแล้ว”

การแยกเรื่องราวออกเป็น 4 เรื่องที่แยกแต่ก็ผูกโยงกันบางอย่างเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ทำให้ต้องมี Series Editor เพราะแต่ละตอนมีความหลอนและ ‘ไปสุด’ ในตัวของมันเอง

“แต่ละตอนมันมีความสนุกหรือสไตล์คนละแบบเลยใช่ไหม แต่สุดท้ายมันต้องรู้สึกเป็นซีรีส์เรื่องเดียวกัน คือนอกจากเนื้อเรื่องที่มันเชื่อมโยงกันแล้ว มันต้องมีเซนส์บางอย่างที่ดูไปแล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ขาดกันไปเลย… เชื้อหลอนออนไลน์มันก็จะเป็น Traditional ผีไทยนิดนึง ผีในโรงบาล ผีตามมาฆ่าอย่างนี้ใช่ไหม แล้วก็ผู้สวดศพก็จะเป็นบ้านผี มีการยึดร่าง คือมันคนละแบบ แต่พอมาช่องส่องตาย โทนมันเปลี่ยน ตัวละครมันเปลี่ยน มันมีความยียวนมากขึ้น มีความวัยรุ่นขึ้น มันมีความทันสมัยขึ้นในแง่ของกิจกรรมของมนุษย์ การ Live การใช้ social หรือการ treat คน ก็คิดว่าอย่างตอนที่เริ่มต้นไอเดียในการเริ่มต้นก็รู้สึกว่าเราก็อยากจะแยกแต่ละตอนให้มันขาดกันไปเลย ในแง่ของ อารมณ์ แล้วก็ทำให้มันสุดในทิศทางนั้นไปเลย”

การออกแบบการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะงานภาพหรือเสียงไม่ใช่แค่ต้องทำงานกับความหลอนอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงแพลตฟอร์มของคนดูด้วย เพราะการทำงานซีรีส์ต่างจากการทำงานภาพยนตร์ที่คนดูถูกบังคับให้นั่งดูอย่างตั้งใจในโรง ต้องมีการดีไซน์เพื่อดึงความสนใจและไปจนถึงเสียงที่ยังชัดเจนและสร้างอารมณ์กับคนดูได้แม้ว่าจะดูจากโทรศัพท์

“อะไรที่เป็น horror นะครับ คือวิธีคิดของความกลัวมันคนละแบบ เพราะว่าเราต้องคำนึงว่าเราทำงานชิ้นนี้ออกมา ใครจะเป็นคนดู และเขาดูบนอะไร พอมันเป็นซีรีส์แล้วเนี่ย เขาอาจจะเปิดลำโพงมือถือ ดูบนมือถือนอนอยู่บนเตียงดูก็ได้ หรือบางคนอาจจะตั้งใจหน่อยก็ใส่หูฟังดูหรือบนทีวี วิธีการวางเพลง วิธีการใช้เสียง ความเร็วความช้าในการสร้างบรรยากาศ หรือความรู้สึกสะพรึงกลัวมันต้องออกแบบโดยคิดถึงคนดูด้วย”

ไม่ใช่แค่จังหวะการเล่าเรื่องราว บรรยากาศและแสงในงานภาพทำงานกับความรู้สึกหลังของคนดู ‘รู้สึก’ ไปกับเรื่องราวอย่างมาก ‘ดิว’ ชัยธวัช ไตรสารศรี หัวหน้าทีม colorist ของอาทิตย์อัสดงที่ร่วมดีไซน์บรรยากาศของซีรีส์อาทิตย์อัสดงตั้งแต่เริ่มต้น และต้องดึงความหลอนออกมาจากแต่ละซีนด้วยบรรยากาศเพื่อสร้างความขนลุกให้กับคนดู

“เราก็พยายามดึงความน่ากลัวและความหลอนด้วยบรรยากาศ mood tone ของแต่ละซีน ซึ่งตีโจทย์มาตั้งแต่เริ่มต้นว่าคนเราจะกลัวโลเคชั่นแบบนี้ด้วยบรรยากาศแบบไหน เช่น เดินเข้าไปในห้องนี้ ห้องมันเปิดไฟสว่างแล้วมันเป็นสีชมพูสดใสพาสเทล มันก็อาจจะไม่รู้สึกถึงพลังอำนาจความมืดบางอย่างที่มันจะโผล่ออกมา มันเลยถูกปรับ mindset คือโทนของหนัง”

ซึ่งบรรยากาศในซีนนั้นจะถูกตีความยังไงขึ้นอยู่กับการดีไซน์ซีนว่าสามารถสร้างอารมณ์แบบไหน เช่นในซีนที่แช่ภาพนานๆ ค่อยๆ เล่าก็สามารถทำให้ภาพมืดกว่าปกติเพื่อสร้างอารมณ์หลอนๆ และซ่อนเรื่องราวได้ ความมืดเป็นสิ่งที่กลัวและลี้ลับสำหรับมนุษย์เสมอ แต่การสร้างความหลอนก็ไม่ต้องพึ่งพาเงามือตลอด หลายครั้งแสงสว่างก็น่ากลัวได้เหมือนกัน

“ในอาทิตย์อัสดงตอนสอง ที่เข้าไปสตูดิโอซึ่งมันเป็นซีนกลางวันกลายเป็นว่ามีจะมีความ weird ของอุปกรณ์ พวกอาร์ทต่างๆ กับบรรยากาศห้องที่ดูแบบทรุดโทรม ผมว่าสุดท้ายแล้วมันคือถ้าอาร์ท การดีไซน์เสียง กับการแสดงของตัวละครมันทำงาน บวก มันก็น่ากลัวโดยที่ไม่ต้องมืดเลย”

เหมือนกับจังหวะการเล่าเรื่อง ใน 4 เรื่องราวของอาทิตย์อัสดงใช้สีในการเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตาม mood tone

“สิ่งที่ยากของเรื่องนี้มันคือ คือ 4 เรื่องมันเชื่อมกัน มันเป็นเรื่องเดียวกันที่ทุกคนเฉียดกันไปเฉียดกันมา แล้วสิ่งที่ยากคือมันต้อง control เรื่องที่มันเฉียดกันให้เป็นเรื่องเดียวกันอยู่ โดยที่แต่ละตอนต้องมีคาร์แรคเตอร์ของตัวเอง”

“อย่างเรื่องแรกจะเล่าโรงพยาบาลก็จะโทนออกไปทางเขียวๆ turquoise หน่อย บวกกับ Art direction ที่เขาวางมาด้วย ก็จะเป็นโทนเขียวตัดกับขาว เรื่องที่สอง มันจะมีความเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกแบบ.. ด้วยโลเคชั่นด้วยมนุษย์ด้วยบุคคลที่มันมีความพีเรียดหน่อย ไปเจอคุณยายแก่ๆ เข้าไปเป็นสาวรับใช้ ก็จะมีโทนค่อนข้างไปทางสีน้ำตาลหน่อย เพื่อสร้างโลกของเขาให้ดูย้อนยุคขึ้น ด้วยรสนิยม พอเข้าเรื่องที่ 3 ที่มีความทันสมัย มันก็จะมีความ… เป็นแสง daylight หรือเป็นแสง night ปกติ แต่ว่าพอเขาเข้าไปอยู่ในซีนตึกร้างจะถูกดีไซน์ให้ฉายแบบออกสีส้ม ตัวแบคกราวน์ออกไปทางเขียวๆ ซึ่งมันต้องมีการดีไซน์มาตั้งแต่หน้าเซตเพื่อช่วยงานภาพด้วย และเรื่องสุดท้ายจะใช้สีที่ออกโทนเย็น Blue เพื่อหนีกับสีของทั้ง 3 เรื่องก่อนหน้า”

กว่าจะออกมาเป็นงานภาพหลอนๆ สยองขวัญของอาทิตย์อัสดง บรรยากาศของแต่ละซีนถูกดีไซน์ให้ดึงเอาความน่ากลัวออกมาให้มากที่สุดโดยที่ยังคงคาร์แรคเตอร์ความสนุกของแต่ละตอนไว้ การทำงาน colorist หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นส่วนเดียวกับการตัดต่อแต่การสร้างบรรยากาศความจริงเป็นศาสตร์ที่แยกออกมาอย่างสิ้นเชิง Mood tone ในเรื่องจะถูกดีไซน์ผ่านงานภาพกับความรู้สึกของคนเป็นหลัก

บรรยากาศไม่ได้เกิดแค่จากงานภาพ ‘เสียง’ สร้างความหลอนได้มากกว่าที่คิด

หนึ่งในองค์ประกอบที่สร้างความรู้สึกให้กับคนมากที่สุดคือ ‘เสียง’ เพราะบางครั้งเสียงสามารถสร้างจินตนาการความสยดสยองได้มากกว่าการเห็นภาพตรงๆ ดังนั้นในทีม Post Production ที่สำคัญมากอีกหนึ่งคนคือ ‘โจ๊ก’ พุฒิภัทร สังวารเพชร Sound Mixer ปั้นความน่ากลัวจากเสียงในแต่ละซีนผ่านเพลง ambient ต่างๆ ให้รู้สึกหลอนไปกับเรื่องราว

“มันไม่เชิงเรียกเทคนิคอะไรหรอก หมายถึงผมก็รู้สึกว่าซีนนั้นมันควรทำอะไรให้มันรู้สึกจากคนดูได้มากที่สุด เราจะดีไซน์มันยังไงให้รู้สึกว่าคนดูมันจะรู้สึกหลอนไปกับหนัง อย่างสมมติว่าตอนเดินเรื่อยๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าข้างทางจะเจออะไร เราก็ต้องดีไซน์วินาทีนั้นว่าควรเป็นแบบไหน อาจเป็นเสียงเท้าย่ำเบาๆ ข้างๆ ก็อาจจะมีเสียงแก๊กแก๊กอะไรมาให้มันรู้สึกหลอนๆ เป็นซาวด์ดีไซน์มามันก็จะค่อยๆ เลี้ยงความรู้สึกเรื่อยๆ ”

“ในอาทิตย์อัสดง ดีไซน์แบบเยอะมาก ซีนเด็กที่เดิน อย่างที่บอกซีนเด็กที่มันต้องเดินอยู่ในโรงพยาบาลอะไรก็ยาก โดยเฉพาะซีนที่ตัวเอกกำลังโดนกรีดช่องคลอด คือซีนนั้นมันไม่เห็น กรีดเข้าไป พอมันรูดคัตเตอร์แล้วมันก็แบบเอามีดกรีด เสียงกรีดเนี่ยมันทำให้รู้สึกแบบว่ามันโดนกรีดแล้วจริงๆ เลยยาก เพราะว่าปั้นกันอยู่ตั้งนาน ปั้นกันแบบให้รู้สึกได้ว่าโดนกรีดทั้งๆ ที่ไม่มีภาพ หรือเสียงแมลงวันที่มันรู้สึกขยะแขยง เราต้องทำให้รู้สึกว่านี่คือแมลงวันหนึ่งตัว ตรงนี้มีแมลงวันเป็นฝูง โดยที่ไม่ต้องมองก็รู้สึกได้”

ในบางซีนการไม่มีเสียงเลยก็ยังสามารถทำงานกับความรู้สึกได้เหมือนกัน

“เสียงมันก็เลยเป็นองค์ประกอบต่างๆ ที่ว่าไปตอนแรกมันก็เลยมีความจำเป็นมาก มีความสำคัญจริงๆ นะครับ เพลงเอย ซาวด์เอย ซาวด์ดีไซน์เอย อะไรต่างๆ นาๆ มีความสำคัญจริงๆ ถ้าจะปล่อยให้เงียบไปเลยผมว่ามันอึดอัดพอสมควร”

เสียงแต่ละเสียงเล่าเรื่องราวไม่เหมือนกัน และถูกใช้ดึงความหลอนออกมาไม่เหมือนกัน สำหรับคุณโจ๊กเสียงต่ำๆ เสียงเด็กร้อง หรือเสียงสิ่งรอบตัวไม่ว่าจะแค่ฝีเท้า ประตูที่ดังเอี๊ยดขึ้นมา จะเพลงสามารถดึงความรู้สึกผิดปกติและน่ากลัวออกมาจากจิตใจคนดูได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละซีนสามารถควรใช้เสียงอะไรดึงความอึดอัดตึงเครียด หรือขนลุกด้วยเสียงแบบไหน

ทุกองค์ประกอบของงานภาพและเสียงของอาทิตย์อัสดงถูกดีไซน์และปั้นมาเพื่อสร้างความสยองและหลอนให้กับผู้ชม ซึ่งทีม Post Production ยืนยันว่าซีรีส์เรื่องนี้ ‘หลอนจริง’ และสอดแทรกเรื่องราวเสียดสีที่มากไปกว่าความน่ากลัว จนคุณโจ๊กเล่าว่าซีรีส์จบไปแล้วยังรู้สึกไปกับซีน คุกรุ่น และยังรู้สึกกับเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา

เรื่องราวยังไม่จบแค่นี้ มาติดตามบทสัมภาษณ์ทีมอาทิตย์อัสดงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เพื่อเจาะลึกเรื่องราวความหลอนและการเสียดสีสังคมที่มากกว่าหนังผีได้ทาง BrandThink House

แล้วเรามาเรียนรู้การรังสรรค์ความสยองไปด้วยกัน