รู้หรือไม่ว่า มลพิษต่างๆ ที่รายล้อมรอบตัวเรา ไม่ว่าในดิน น้ำ อากาศ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 9 ล้านคนต่อปี (นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 เป็นต้นมา) มากกว่าเหตุเสียชีวิตรายปีจากสงคราม ไข้มาลาเรีย เชื้อเอชไอวี วัณโรค ยาเสพติด หรือเหล้าเบียร์เสียอีก
ข้อมูลนี้มาจากคณะกรรมการด้านมลพิษและสุขภาพของวารสาร Lancet (นิตยสารทางการแพทย์รายสัปดาห์) ที่นำเสนองานวิจัยด้านนี้มาอย่างสม่ำเสมอ
โดยมลพิษที่ร้ายแรงมากสุด คือ มลพิษทางอากาศ ซึ่งคิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ จาก 9 ล้านคน ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุนี้
มูลเหตุใหญ่ๆ มาจากทั้งฝุ่นควันที่เราประสบกันเป็นประจำอย่าง PM2.5 ทั้งที่มาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลและไฟป่า โดยเฉพาะสาเหตุหลังสุดค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากอิทธิพลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดความแห้งแล้งหนัก ไฟป่าในระยะหลังจึงรุนแรงกว่าในอดีตมาก
หรือการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเอง โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ซึ่งติดอันดับ 6 ของ 10 อันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดในโลกเป็นประจำทุกปี ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพราะสาเหตุนี้สูงถึง 1.6 ล้านคนต่อปี
ขณะที่มลพิษทางน้ำถือเป็นภัยที่พรากชีวิตผู้คนให้จากไปก่อนวัยอันควรตามมาเป็นอันดับสอง เกิดเพราะการวางระบบระบายน้ำไม่ดีไปจนถึงการขาดความรู้และขาดการจัดการสุขอนามัยที่ถูกสุขลักษณะ เช่น การซักผ้า ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลองสายเดียวกับที่เราใช้ดื่มหรืออาบ
หรืออีกด้านหนึ่งหมายถึง ภาครัฐยังไม่สามารถอำนวยน้ำท่าที่สะอาดปลอดภัยให้กับราษฎรได้อย่างทั่วถึง
ส่วนมลพิษอีกด้านคือ มลพิษจากสารเคมีที่อาจรับได้จากหลายแหล่ง ทั้งจากภาคการเกษตรหรือคนที่ทำงานกับสารเคมีอันตรายโดยตรง ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1.8 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตจากตะกั่วมากถึง 900,000 คนต่อปี
ปัญหาของสารเคมีต่างๆ นี้ ผู้วิจัยค่อนข้างกังวลเป็นพิเศษ เนื่องจากการประเมินอันตรายจากพิษของสารเคมียังมีน้อย การทดสอบความเป็นพิษของสารเคมีต่างๆ ก็ยังมีไม่ครบทุกตัว ฉะนั้นในความเป็นจริงตัวเลขอาจจะสูงมากกว่านี้ก็ได้
ปัญหามลพิษไม่ว่าจะจากสาเหตุอะไรก็ดูจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหลายประเทศยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไข โดยเฉพาะด้านงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเพียงน้อยนิด และมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ยกให้ปัญหานี้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของประชาชน
ซึ่งข้อมูลเน้นย้ำว่า ประเทศที่มีฐานะปานกลางและประเทศยากจนคือผู้ที่เสียเปรียบ จำนวนผู้เสียชีวิตของคน 9 ล้านนั้นมาจากกลุ่มประเทศเหล่านี้มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ และแทบไม่เคยยกปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาเป็นวาระสำคัญเลย
โดยตัวอย่างนั้นไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล ในประเทศไทยเองก็บ่ายเบี่ยงการรับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) เรื่องการปรับเกณฑ์แนะนำคุณภาพอากาศให้ ‘สะอาด’ ขึ้นกว่าเดิมตาม Air Quality Guidelines: AQGs ฉบับใหม่
โดยไทยเพิ่งมาปรับค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ใหม่กันเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานี่เอง จากค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ลงมาอยู่ที่ 37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และค่าเฉลี่ยรายปี จากเดิมไม่เกิน 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร มาเป็นไม่เกิน 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
มิหนำซ้ำกว่าจะมีผลบังคับใช้จริงๆ ก็วันที่ 1 มิถุนายน 2566 โน่นเลย
อ้างอิง
- The Guardian, Pollution responsible for one in six deaths across planet, scientists warn, https://shorturl.asia/SHFXG
- The Lancet, Pollution and health: a progress update, https://shorturl.asia/C2AKG
- ThaiPBS, ปรับเกณฑ์วัดค่าฝุ่น PM 2.5 ใหม่ มีผล 1 มิ.ย.66, https://shorturl.asia/Uh14r