4 Min

แบ่งขั้วการเมืองแบบ ‘ซ้าย-ขวา’ กำลังล้าสมัย คำถามใหม่คือเราเชื่อใน ‘เสรีภาพทางเทคโนโลยี’ หรือไม่?

4 Min
1791 Views
12 Jan 2022

โลกเราวนเวียนอยู่ในขั้วการเมืองแบบซ้ายขวามานับตั้งแต่ปฏิวัติฝรั่งเศส ฝ่ายขวาเชื่อในจารีตและวิถีสังคมแบบเดิมๆ ฝ่ายซ้ายเชื่อในความก้าวหน้าทางสังคม และไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปจากจุดนั้นแค่ไหน ทุกวันนี้พรรคการเมืองในโลกทั้งหลายก็มักจะถูกจัดในขั้วซ้ายขวาที่ว่าได้อยู่ จะซ้ายจัด ซ้ายกลาง ขวาจัด ขวากลาง อะไรก็ว่าไป

การแบ่งขั้วทางการเมืองแบบนี้ดำรงอยู่มาตลอดศตวรรษที่ 20 ที่ประชาธิปไตยเบ่งบานทั่วโลก แต่พอมาในศตวรรษที่ 21 สิ่งที่เราเห็นก็คือเผด็จการเริ่มขยายตัว หรือให้ตรงกว่าคือประชาธิปไตยถึงยุคเสื่อมอย่างชัดเจน

มันเกิดอะไรขึ้น? บางคนอาจมองว่าปรากฏการณ์พวกนี้เกิดจากการขยายตัวของกลุ่มขวาจัดทั่วโลก แต่อีกด้าน ถ้ามาดูจริงๆ เราก็เห็นว่าจำนวนคนออกไปเลือกตั้งทั่วโลกลดลงอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่พบทั่วไปในอเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันตก ไปจนถึงญี่ปุ่น และนี่เป็นแนวโน้มระยะยาวที่ปรากฏมานับแต่การตื่นตัวทางการเมืองในยุค 1960s

ดูเผินๆ นี่เราอาจคิดว่านี่เป็นเพราะคนรุ่นใหม่รังเกียจประชาธิปไตยก็ได้ แต่ถ้าเรารู้จักคนรุ่นใหม่จริงเราจะไม่พูดแบบนั้น เพราะพวกเขาไม่ได้รังเกียจประชาธิปไตยแน่ๆ แต่เขารังเกียจการเมืองระบบสภาที่เป็นอยู่ซะมากกว่า

ทำไมการเมืองระบบสภาถึงน่ารังเกียจ? ถ้าเรากลับมามองสิ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ที่ผ่านๆ มา เราก็น่าจะเห็นว่าบรรยากาศรวมๆ ที่เกิดขึ้นก็คือคนมันรู้สึกว่าจะเลือกพรรคการเมืองไหนก็ไม่ได้ต่างกัน? ’ และการเมืองแบบซ้ายจัดและขวาจัดสุดท้ายอาจต้องพินาศหมด เพราะพวกกลางๆหรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า Centrism จะเป็นผู้ชนะ

พวกกลางๆที่ว่า คือพวกที่ใช้จุดยืนทางการเมืองแบบประนีประนอมแล้วสำหรับคนรุ่นเก่า’ (คือเอารัฐสวัสดิการแต่พองาม และก็รักษาสิทธิเสรีภาพพื้นฐานทุกอย่างเอาไว้อย่างมั่นคง) แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ การเลือกระหว่างพรรคซ้ายกลางกับขวากลางมันไม่ได้ต่างจากการเลือกระหว่างโค้กหรือเป๊ปซี่ มันไม่ได้ต่างกันในระดับแก่นสารระดับที่ควรจะเสียเวลาชีวิตไปคูหาเลือกตั้ง

นี่เลยเป็นสาเหตุว่า เว้นแต่จะมีฝ่ายขวาจัดบ้าๆ บอๆ ระดับโดนัลด์ ทรัมป์มาพยายามจะยึดประเทศ ให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วพวกเขาไม่ไปเลือกตั้งหรอก และตัวอย่างที่ดีมากๆ ของคนรุ่นใหม่ไม่สนใจการเมืองคือประเทศญี่ปุ่นที่คนอายุน้อยๆ ไม่ถึง 1 ใน 3 ไปลงคะแนนเลือกตั้ง และจำนวนคนที่ไปเลือกตั้งก็น้อยลงเรื่อยๆ มายาวนานแล้วในหมู่คนรุ่นใหม่

สิ่งที่เกิดขึ้นก็อย่างที่ว่า คนรุ่นใหม่เริ่มรู้สึกว่าความต่างที่เป็นฐานของการตั้งพรรคการเมืองซ้ายขวาในอดีตมันไม่ต่างอย่างมีนัยสำคัญ

แล้วความต่างอะไรที่เป็นประเด็น? ไปๆ มาๆ อาจไม่ใช่เรื่องความถูกต้องทางการเมืองแบบที่พวกซ้ายจัดชอบประโคมว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่อาจเป็นเรื่องความเชื่อในเสรีภาพทางเทคโนโลยีหรือพูดให้ชัดคือ ความรู้สึกรวมๆ ว่าในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนารัวๆ โดยอิสระ แบบทุกวันนี้ มันจะนำพามนุษย์ไปสู่ปลายทางชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นมันควรจะสนับสนุนให้ภาวะแบบนี้ดำเนินต่อไป

หรือให้ตรงในเชิงนโยบายสาธารณะที่พรรคการเมืองควรจะเอามาขายแต่ไม่มีใครทำก็คือ นโยบายเปิดเสรีเทคโนโลยี อันต่างจากแนวทางควบคุมเทคโนโลยีที่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายจัดยันขวาจัดก็มักจะเห็นร่วมกันว่ารัฐต้องควบคุมเทคโนโลยีและเอาไปตอบสนองวาระทางการเมืองของตัวเอง

ไอเดียของผู้ที่เชื่อในเสรีภาพทางเทคโนโลยีก็ง่ายๆ เลย คือเชื่อว่าเอกชนควรพัฒนาเทคโนโลยีได้เต็มที่ รัฐควรเข้าควบคุมแทรกแซงให้น้อยที่สุด คือสนับสนุนได้ แต่ห้ามทำการควบคุมและระงับ ต้องปล่อยให้เทคโนโลยีมันคลี่คลายตัวมันเอง

และจริงๆ นี่ไม่ใช่ไอเดียนามธรรมอะไรเลย แต่คือไอเดียแบบคนอย่าง อีลอน มัสก์

มัสก์คือคนดังที่เชื่อจริงๆ ว่าเทคโนโลยีจะทำให้โลกดีขึ้น และไม่ใช่แค่เชื่อแต่เขามีบทบาทในการผลักเทคโนโลยีไปเป็นดังนั้นด้วย เรียกได้ว่าตอนนี้เป็นผู้นำทั้งเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ เทคโนโลยีอวกาศ และยังพยายามจะมีเอี่ยวกับเทคโนโลยีเชื่อมมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์อีก และก็ไม่แปลกเลยที่เขาเป็นบุรุษแห่งปีทั้งปี 2020 ถึง 2021

มันมีเหตุผลไม่น้อยที่ทำไมมีคนสนับสนุนและเชื่อในมัสก์มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจริงๆ ท่าทีอย่างมัสก์มันยียวนทั้งฝ่ายซ้ายและขวาแบบดั้งเดิมมากๆ เขาเชื่อในเสรีภาพทางเทคโนโลยีแบบที่ฝ่ายซ้ายจัดและขวาจัด ส่ายหน้าไปพร้อมกันด้วยเหตุผลที่ต่างกัน และสำหรับเขาเสรีภาพที่ว่ามันมีเหตุผลและเป้าหมายเดียวคือเพื่อให้มนุษยชาติพัฒนาเทคโนโลยีได้คล่องตัวที่สุด และนั่นคือสิ่งที่จะดีในปลายทางแบบไม่ต้องกังขา

แน่นอน มุมมองแบบนี้สุดขั้วมาก แต่ในโลกที่ไม่มีไอดอลของฝ่ายเปิดเสรีเทคโนโลยีเลย มันก็ต้องการคนแบบนี้แหละมาเป็นปากเป็นเสียง

บางคนอาจรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะใหญ่เร็วๆ นี้ แต่ในความเป็นจริงเทคโนโลยีบล็อกเชนทั้งหลายที่ทำงานข้ามชาติตอนนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ ถึงข้อถกเถียงแบบนี้ เพราะเทคโนโลยีแบบนี้ทำงานข้ามชาติ ไม่มีศูนย์กลาง ดังนั้นมันจะไปบี้กับบริษัทไหนไม่ได้ ผลก็คือรัฐคุมไม่ได้ เพราะมันถูกสร้างมาแบบนั้น และทางเลือกมันก็เลยคือการไม่แบนเทคโนโลยีพวกนี้ไปเลย และใช้อำนาจปราบปรามโหดๆ ระดับไม่แคร์สิทธิพื้นฐานตั้งแต่สิทธิความเป็นส่วนตัวยันสิทธิเหนือร่างกายและทรัพย์สิน (นึกอะไรไม่ออกนึกถึงจีน) ก็ต้องปล่อยเสรีไปเลย

เราจะพบข้อถกเถียงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งฝ่ายเปิดเสรีเทคโนโลยีก็จะบอกว่ามันผิดแต่แรกแล้วที่รัฐพยายามจะไปจุ้นจ้าน ในขณะที่อีกฝ่ายที่เป็นตั้งแต่ซ้ายจัดยันขวาจัดในอดีตล้วนดาหน้ากันออกมายืนยันว่ารัฐต้องมีสิทธิควบคุม

ความขัดแย้งทางการเมืองแบบนี้แหละที่เราจะเห็นมากขึ้น ในขณะที่ฝ่ายควบคุมเทคโนโลยีที่เป็นขั้วการเมืองซ้ายขวาเดิมน่าจะรวมตัวกัน อีกฝ่ายที่เป็นฝ่ายเปิดเสรีเทคโนโลยีที่เป็นคนรุ่นใหม่ๆ รวมตัวกับคนที่เคยอยู่ชายขอบขั้วการเมืองซ้ายขวาแบบเก่าๆ ก็จะรวมตัวกัน

และถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องตกใจไปที่เราที่เคยถูกจัดเป็นหัวก้าวหน้าจะถูกมองว่ากลายมาเป็นอนุรักษนิยมเพราะเราไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรเลย เราแค่มีจุดยืนที่เดิม สักวันโลกก็จะหมุนไปไกลจนเรากลายไปเป็นพวกอนุรักษนิยมไปนั่นแหละ

อ้างอิง